คุณพ่อคุณแม่มือใหม่กำลังมองหาหนังสือเลี้ยงลูกอยู่หรือเปล่าค่ะ? บทความนี้ มีหนังสือเลี้ยงลูกที่มีการซื้อไปอ่านแล้วได้ผลมาแนะนำ เป็น หนังสือเลี้ยงลูก ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่ามากในบรรดาคุณพ่อคุณแม่
การตัดสินใจเลือกหนังสือสักเล่มก็เป็นเรื่องอยาก หากได้อ่านบทความนี้ก่อนอาจทำให้คุณพ่อคุณแม่ตัดสินใจเลือกหนังสือได้ง่ายขึ้น ไม่มีคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ท่านไหนจะมีประสบการ์ณมาก่อน ทุกคนล้วนแต่มีการเริ่มต้นด้วยกันทั้งนั้น
และคุณพ่อคุณแม่อีกหลาย ๆ ท่านอาจมีความกังวลไม่น้อยถึงปัญหาการเลี้ยงลูก ยิ่งคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกเอง หนังสือเลี้ยงลูก จะช่วยตอบโจทย์ปัญหาเหล่านั้น ซึ่งหนังสือเลี้ยงลูก มีหลักการ
และวิธีการรับมือของเด็กแต่ละช่วงวัย และยังแยกแยะออกเป็นหลากหลายเรื่อง หนังสือทุกเล่มนั้น มีข้อดี คือ อยากให้ลูกเป็นเด็กที่มีพัฒนาการที่ดีด้านร่างกาย สติปัญญา และเติบโตสมวัย เป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่ ช่วยเหลือตัวเองได้
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสร้างขึ้นได้ หากคุณพ่อคุณแม่มีประสบการณ์ ในการบ่มเพาะเด็ก ตั้งแต่แรกเกิด จนถึง 3 ขวบ จะทำให้คุณพ่อคุณแม่ได้รู้ถึงพฤติกรรมของลูก ก่อนที่จะส่งให้ลูกน้อยไปเรียนรู้ในโลกกว้าง การเข้าสังคม การเอาตัวรอด
พอหลังจากที่ลูกน้อยต้องไปโรงเรียน ไปเจอเพื่อนใหม่ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดี หากคุณพ่อคุณแม่มีการปูทางไว้ก่อน การสอนให้ลูกรู้จักตัวเองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะจะเป็นพื้นฐานไปสู่การเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ต่อไป
ก่อนอื่นคุณพ่อคุณแม่ ต้องเข้าใจพฤติกรรมของลูกแต่ละช่วงอายุเสียก่อน ดังนั้น หนังสือเลี้ยงลูก จะเป็นคู่มือที่ดีที่สุด ที่จะแนะนำการเลี้ยงลูกให้คุณพ่อคุณแม่ได้เป็นอย่างดี เมื่อคุณพ่อคุณแม่อ่านหนังสือได้มาก
คุณพ่อคุณแม่ก็จะมีทฤษฎีในการเลี้ยงลูก แล้วนำไปปฏิบัติ ปรับปรุงให้เข้ากับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิด และรับมือกับปัญหาลูกได้ง่ายขึ้น วันนี้ ตังค์ทอน มีหนังสือแนะนำการเลี้ยงลูก 15 เล่ม มาฝากคุณพ่อคุณแม่ จะมีเล่มไหนบ้างไปดูกันค่ะ
15 เล่ม หนังสือเลี้ยงลูก ปี 2024 แนะนำ คู่มือการเลี้ยงลูก การเลี้ยงลูกเชิงบวก ที่ตอบโจทย์คุณพ่อคุณแม่มือใหม่
1. รอถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว
ผู้เขียน : Masaru Ibuka (มาซารุ อิบุกะ) ผู้แปล : พรอนงค์ นิยมค้า โฮริคาวา “อัจฉริยบุคคลไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์หรือสายเลือด แต่เกิดจากการเรียนรู้และสภาพแวดล้อม”
หนังสือรอถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว ตีพิมพ์ครั้งแรกในญี่ปุ่น เมื่อ พ.ศ. 2514 ขายไปกว่าล้านเล่มในญี่ปุ่น ปัจจุบันก็ยังขายอยู่ แนวคิดในเล่มเป็นสากล ไม่ล้าสมัย ในประเทศไทย จัดพิมพ์โดยมูลนิธิหมอชาวบ้าน มากว่า 30 ปี
ชื่อเสียงของหนังสือได้รับการพูดถึงมาตลอด และมักถูกหยิบยกมาอ้างอิงเสมอ ว่าเป็นหนังสือที่พ่อแม่ทุกคนต้องอ่าน ถือเป็นหนังสือคุณภาพดี ระดับต้น ๆ เป็นหนังสือที่นำเสนอแนวคิดเรื่องการศึกษาในเด็กเล็ก
ช่วง 0-3 ขวบ นั่นคือเป็นช่วงที่ทุกคนเกิดมาเหมือนกันหมด คือ ไม่ได้รู้หมดทุกเรื่อง ไม่มีคำว่าฉลาด ไม่มีคำว่า โง่ แต่ที่จริงพฤติกรรม ความสามารถ และอุปนิสัยจะก่อร่างจากการเรียนรู้ ตั้งแต่แรกเกิดถึง 3 ขวบ
ดังนั้นเหตุ และผลที่ต้องดูแลบ่มเพาะเด็กช่วงวัยนี้จึงสำคัญที่สุด ผู้เขียนจึงได้บอกว่า รอให้ถึงอนุบาล (เลย 3 ขวบ) ก็สายเสียแล้ว แต่ละบทเขียนเป็นตอนสั้น ๆ อ่านเข้าใจง่าย เพื่อให้พ่อแม่เข้าใจแนวคิด
และยกตัวอย่างให้เห็นภาพรวม มาซารุ อิบุกะ เสนอแนะว่า สิ่งที่เด็กเรียนรู้อย่างง่าย และไม่รู้ตัวในวัย 2-3 ปีแรกของชีวิตนั้น เป็นสิ่งที่ถ้าเรียนในระยะวัยเติบโตแล้วจะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก และบางสิ่งบางอย่างอาจจะไม่สามารถเรียนรู้ได้เลยในวัยเติบโต
มาซารุ อิบุกะเขาเขียนถึงเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยความตรงไปตรงมา ด้วยความชัดเจน อ่านเข้าใจง่าย ทุกหน้าที่เขาเขียนเป็นเรื่องจริง และดึงตัวอย่างมาจากประสบการณ์ โดยในหนังสือจะมีเนื้อเรื่องดังต่อไปนี้
สารบัญ
ตอนที่ 1 ศักยภาพของเด็กเล็ก ถูกกำหนดภายใน 3 ขวบ
1 รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว
2 ไม่ว่าเด็กคนไหนก็เลี้ยงให้ดีได้
3 การศึกษาในวัยเด็กเล็ก ไม่ใช่การผลิตอัจฉริยบุคคล
ฯลฯ
ตอนที่ 2 การสร้างสภาพแวดล้อม เพื่อพัฒนาศักยภาพสูงสุดของเด็กเล็ก
16 การศึกษาและสภาพแวดล้อมเหนือกว่ากรรมพันธุ์
17 ลูกหมอก็ไม่แน่ว่าจะเหมาะที่จะเป็นหมอ
18 ลูกของคนถ้าเติบโตในหมู่สัตว์ก็จะกลายเป็นสัตว์
ฯลฯ
ตอนที่ 3 การศึกษาปฐมวัยที่แท้จริง อยู่ในมือของแม่เท่านั้น
82 แม่ที่ไม่มีสายตายาวไกล ให้การศึกษาแก่ลูกไม่ได้
83 สำหรับผู้หญิงไม่มีงานใดสำคัญกว่างานเลี้ยงลูก
84 การศึกษาของเด็กเริ่มต้นที่การศึกษาของแม่
ฯลฯ
2. คู่มือเลี้ยงลูกยุคใหม่ ฉบับสมบูรณ์
ผู้เขียน : Baby & Kids “สุดยอดเคล็ดลับเลี้ยงลูก สอนพ่อแม่ช่วยพัฒนาสมอง ลูกน้อยช่วงวัยแรกเกิด – 3 ขวบ”
คู่มือเลี้ยงลูกยุคใหม่ ฉบับสมบูรณ์ (ปกแข็ง) เล่มนี้ ได้รวบรวมเนื้อหาความรู้ในการเลี้ยงลูกไว้อย่างครบถ้วน และรอบด้าน ตั้งแต่การเตรียมพร้อมก่อนคลอด การดูแลลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิด จนถึง 3 ขวบ
เป็นหนังสือที่ทันสมัย และใช้ได้จริง ทั้งการดูแล การส่งเสริมพัฒนาการ โรคภัยที่ต้องรู้เมื่อต้องดูแลเด็กเล็ก ด้วยข้อมูลวิชาการที่ผ่านการตรวจสอบจากกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พร้อมสุดยอดเคล็ดลับเลี้ยงลูก
เทคนิคการดูแลครรภ์คุณภาพ, การดูแลตัวเองหลังคลอดของคุณแม่, การเตรียมความพร้อมให้นมแม่, การสร้างความฉลาด พัฒนาสมองลูกให้ถูกช่วงวัย, และ Mom SOS ช่วยลูกวินาทีฉุกเฉิน เป็นต้น
เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่รู้ทันปัญหาลูกเจนอัลฟ่า เจนเนอเรชั่นใหม่ที่เกิดมาพร้อมเทคโนโลยี และรู้จักวิธีปรับแก้พฤติกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเด็กวัย Digital Kids พร้อมข้อมูลสำคัญเพื่อการพัฒนาสมองลูกให้ถูกช่วงวัย
เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการเลี้ยงลูกเป็นอย่างมาก หากคุณพ่อคุณแม่ได้นำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับช่วงอายุของลูกน้อย ในขณะที่ลูกได้รับการพัฒนาตนเองได้อย่างเหมาะสมนั้น
หนังสือเล่มนี้ ยังคงเป็นอีกหนึ่งผู้ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถพัฒนาตนเองไปพร้อมกับพัฒนาการของลูกได้ จากการตรวจสอบจากกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นเชื่อมั่นได้ว่า สามารถนำมาใช้ได้จริง เหมาะกับการเลี้ยงลูกในยุคปัจจุบัน
3. พูดกับลูกสไตล์คุณแม่ญี่ปุ่น
ผู้เขียน : Teruko Soda (เทรุโกะ โซดะ) ผู้แปล : ภาวิณี ตั้งสถาพรพงษ์ “66 ถ้อยคำทำร้ายลูกที่คุณอาจไม่รู้”
หนังสือเลี้ยงลูก พูดกับลูกสไตล์คุณแม่ญี่ปุ่น เป็นหนังสือที่มีเนื้อหา ข้อเท็จจริง 66 ถ้อยคำทำร้ายลูก ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจเผลอพูดกับลูกบ่อย ๆ โดยไม่รู้ตัว พร้อมยกตัวอย่างจากสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวัน
ถ่ายทอดโดยคุณแม่นักเขียนลูกสาม เจ้าของหนังสือขายดี ด้านวิธีสื่อสารกับเด็ก คำพูดที่สามารถสร้างเสริมความรู้สึกที่มีคุณค่าในตนเองให้กับลูก หรือตรงกันข้ามอาจกลายเป็นอาวุธร้าย ที่คอยบั่นทอนจิตใจลูกลดลงวันละนิด
โดยที่คุณพ่อคุณแม่อาจไม่ทันได้คิด บางครั้งอาจพูดด้วยอารมณ์ เนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่มีสติ ครุ่นคิดมากขึ้น ใคร่ครวญก่อนพูด ช่วยให้คำพูดที่จะสื่อสารกับลูกทุกวัน ไม่เป็นการทำร้ายลูก
อีกทั้งหนังสือเล่มนี้ ยังช่วยให้เราหันกลับมามองตนเองมากขึ้น สำรวจข้อผิดพลาดในการเลี้ยงลูก และแก้ไขทันท่วงที ด้วยคำพูดของคุณพ่อคุณแม่ช่วยให้ลูกรู้คุณค่า และเข้าใจ เติบโตเป็นเด็กดี มั่นใจในตัวเอง และใช้ชีวิตที่มีความสุขค่ะ
4. เลี้ยงลูกชายไม่ยากเลย (ฉบับปรับปรุง)
ผู้เขียน : Harasaka Ichiro (ฮะระซะกะ อิชิโร) ผู้แปล : วิลาศิณี คู่ปัถพี “ปรับพฤติกรรมลูกชายสุดรักอย่างได้ผล ด้วยการ์ตูน 4 ช่อง โดยแบ่งตามสถานการณ์ต่าง ๆ เข้าถึง “วิธีสอน” ที่ทำให้ลูกชายเข้าใจ”
คุณแม่ท่านไหนที่กำลังจะมีลูกชาย บอกเลย เล่มนี้ หนังสือเลี้ยงลูกชายที่ต้องมี ตอนแอดท้องแล้วรู้ว่ากำลังจะได้ลูกชาย แอดรีบหาหนังสือมาอ่าน เล่มแรกที่หยิบมา ก็คือ“หนังสือเลี้ยงลูกชายไม่ยากเลย” เล่มนี้ ถ่ายทอดโดย “ฮะระซะกะ อิชิโร” ครูชาวญี่ปุ่น
เชื่อไหมว่าเป็นหนังสือที่อ่านแล้วมีความสุข เกิดจิตนาการ ลูกฉันคลอดมาจะเป็นแบบไหน จะเป็นแบบนี้ไหม แอดอ่านซ้ำ ๆ หลายรอบ เพราะเนื้อหาในเล่มนำเสนอแบบฮาวทูในรูปแบบการ์ตูนทุกหน้ามีแต่สาระดี ๆ ที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย
เชื่อเถอะ หนังสือมีคุณภาพจริง ถ่ายทอดจากประสบการณ์จริง และที่สำคัญลูกชายเป็นเหมือนในหนังสือเลยค่ะ ทำให้รับมือได้ง่ายขึ้น เข้าใจเขาง่ายขึ้น จากประสบการณ์ของผู้เขียนที่คลุกคลีอยู่กับเด็กปฐมวัยมากกว่า 23 ปี
เสมือนเป็นตัวแทนของเด็ก ที่จะมาบอกคุณแม่ทุกท่านว่า ให้ลองฟังเสียงหัวใจลูกดู แล้วจะเข้าใจว่า การที่เด็กแสดงออกในลักษณะต่าง ๆ นั้น เขาคิดอะไรอยู่ เขาอยากได้อะไร แล้วเราจะตอบลูกได้ไม่ยากเลย
หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนกลั่นกรองออกมาอย่างกระชับ เข้าใจได้ทันที ให้คุณแม่รู้ว่า เมื่อจะสอนลูก สิ่งใดควรทำ และสิ่งใดไม่ควรทำ การเลี้ยงลูกจะไม่ยาก หากเราเข้าใจเขา แน่นอนว่าคุณแม่จะสนุกกับการเลี้ยงลูกชายด้วยค่ะ
5. ชีวิตลูกสาวบ่มเพาะได้ 0-6 ขวบ
ผู้เขียน : ทาเคะอุจิ เอริกะ “เพียง 6 ปีแรกในชีวิตของเด็กหญิงคนนึง หาพ่อแม่รู้และเข้าใจ เด็กจะสามารถเป็นคนที่ฉลาด และมีความสุข”
ชีวิตลูกสาวบ่มเพาะได้ 0-6 ขวบ เป็นหนังสือเลี้ยงลูกที่แนะนำ อยากเลี้ยงลูกสาวให้เติบโตขึ้นเป็นเด็กฉลาดทั้งสติปัญญาและการใช้ชีวิตไม่ใช่เรื่องยาก เพียงให้ความสำคัญในช่วงก้าวแรกของชีวิตตั้งแต่วัย 0-6 ปี
เพราะเด็กหญิงแตกต่างจากเด็กชาย พฤติกรรม การแสดงออก และพื้นฐานด้านจิตใจ ดังนั้นหากเริ่มต้นบ่มเพาะ ตั้งแต่แเกิด บ่มเพาะ “การรับรู้ความรู้สึกจากสิ่งต่างๆ”1 ขวบ บ่มเพาะ “อิสระในการเรียนรู้”
2 ขวบ บ่มเพาะ “พลังจินตนาการ”3 ขวบ บ่มเพาะ “ใจที่พึ่งพาตนเอง”4 ขวบ บ่มเพาะ “ทักษะการแก้ปัญหา”5 ขวบ บ่มเพาะ “ความกล้ายืนยันความคิดของตนเอง”6 ขวบ บ่มเพาะ “ความรู้สึกเห็นคุณค่าในตนเอง”
เพื่อสร้างสรรค์ลูกสาวให้เติบโตอย่างสมบูรณ์ตามวัยผ่านประสบการณ์คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ คุณทาเคะอุจิ เอริกะ ผู้ศึกษาพฤติกรรมเด็กในประเทศญี่ปุ่นกว่า 9,000 คน มานานกว่า 20 ปี กับ 7 ขั้นตอน ที่ใช้ได้ผล
6. เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ EF
ผู้เขียน : นพ. ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ “เสริมสร้าง EF และทักษะศตวรรษที่ 21 ให้ลูกน้อยด้วยวิธีง่าย ๆ ที่ได้ผล”
EF คือ อะไร หนังสือเล่มนี้มีคำตอบ การเลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ EF นั้น ไม่ได้ยากเลยค่ะ เพียงคุณพ่อคุณแม่ต้องตามข้อมูลข่าวสารใหม่ ๆ ด้วยเครื่องมือสื่อสารใหม่ ๆ ความรู้ทุกอย่างหาได้ง่ายแค่ปลายนิ้ว
แล้วเราจะเลี้ยงลูกอย่างไรกันดี ให้เขาเติบโตขึ้นมาอย่างพร้อมเผชิญกับโลกที่เราเองก็ไม่ได้รู้จักดีนัก คุณพ่อคุณแม่อาจจะเคยได้ยินเรื่อง EF หรือ Executive Function มาบ้างจากสื่อโซเชียลเน็ตเวิร์คทั้งหลาย
ว่ามันคือความสามารถของสมองและจิตใจที่จะควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายได้ ซึ่งสิ่งนี้เองเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับชีวิตในศตวรรษที่ 21 ที่จะช่วยยึดเหนี่ยวเด็ก ๆ ของเราไว้ท่ามกลางความเชี่ยวกรากของโลกในวันข้างหน้า
ส่วนที่ว่าเราจะ “เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ EF นั้น นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ ได้รวบรวมองค์ความรู้จากวิชาชีพ และการสั่งสมประสบการณ์ยาวนาน ถ่ายทอดออกมาได้ง่าย หากเราเข้าใจ และลงมือทำทันที ทำได้แน่นอน ค่ะ
7. ชมลูกให้ถูก ติลูกให้เป็น
ผู้เขียน : Shimamura Hanako (ชิมะมุระ ฮะนะโกะ) ผู้แปล : กิ่งดาว ไตรยสุนันท์
“ทำไมเวลาเราเตือนลูกแล้วเขาไม่ฟัง ร้องไห้งอแง และแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว มาเรียนรู้การเลี้ยงดูแบบไม่ชักจูง” ที่จะทำให้มีความสุขทั้งพ่อแม่ และลูกวัย 3-12 ปี”
สำหรับเด็ก ๆ คำชมเปรียบเสมือนรางวัล ส่วนคำตำหนิ ก็ไม่ต่างจากบทลงโทษ เมื่อผู้ใหญ่นำคำชม หรือคำตำหนิมาใช้ในการควบคุมพฤติกรรมของเด็ก โดยขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องพัฒนาการเด็ก
ผลลัพธ์ที่ได้อาจตรงกันข้ามกับความตั้งใจอันดี หรือร้ายกว่านั้น อาจกลายเป็นผลเสียที่กระทบต่อการเลี้ยงดู วิธีชมเชย เก่งมาก ทำได้ดี สุดยอด และ วิธีตำหนิ อย่า ห้าม ไม่ดี ไม่เอา ที่มักพูดโดยไม่ได้คิดจึงมีผลเสีย
หนังสือ “ชมลูกให้ถูก ติลูกให้เป็น” เล่มนี้ เป็นผลงานของ “ชิมะมุระ ฮะนะโกะ” ผู้เขียนซึ่งเคยเป็นครูในระบบการสอนแบบมอนเตสซอรีอยู่ที่ประทศแคนาดา เธอมีประสบการณ์อบรมดูแลเด็กโดยตรง
เนื้อหาในเล่มได้รวบรวมเทคนิคช่วยให้พ่อแม่เปลี่ยน “พฤติกรรมขัดแย้ง” ให้เป็น “พฤติกรรมเชื่อมโยง” กับลูกวัย 3-12 ปี เป็นคู่มือสำหรับผู้ใหญ่ทุกคนที่มุ่งหวังให้เด็ก เติบโตขึ้นเป็นคนที่น่ารัก และเฉลียวฉลาดสมวัย
8. วิธีฝึกเด็กให้ฉลาดและเก่ง 0-3 ขวบ
ผู้เขียน : Winifred Conkling (วินิเฟรด คอนคลิง) ผู้แปล : ภรณี ภูรีสิทธิ์ “ชีวิตในอนาคตของลูก ขึ้นอยู่กับคุณพ่อคุณเเม่ ว่าได้เตรียมความพร้อมให้เขา มากน้อยเพียงใด”
“วิธีฝึกเด็กให้ฉลาดและเก่ง ตั้งแต่แรกเกิด-3 ขวบ” หนังสือเลี้ยงลูก เป็นหนังสือดี เขียนโดย “Winifred Conkling” ได้สรุปแนวทางในการกระตุ้นและพัฒนาเซลล์สมอง รวมทั้งสร้างความ “เฉลียว” และ “ฉลาด”
หนังสือไม่เพียงแค่แนะนำการพัฒนาในเรื่องวิธีคิด และการเรียนรู้ แต่ยังสอนวิธีการเรียนรู้จากความล้มเหลว หนังสือเล่มนี้เหมาะอย่างยิ่งกับคนรุ่นใหม่ ที่เป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ คุณครู พี่เลี้ยง และผู้ใหญ่ทุกคน
ที่ต้องการเรียนรู้วิธีกระตุ้น และพัฒนา “สมอง” “ความคิด” และ “จิตใจ” ของเด็ก หนังสือสามารถทำให้พ่อแม่เข้าใจพัฒนาการของลูกได้ และช่วยส่งเสริมสิ่งที่ดี ๆ ให้กับลูก เเล้วยังป้องกันปัญหาอื่น ๆ ที่อาจจะตามมาในอนาคตได้เช่นกัน
หนังสือเล่มนี้ จัดเป็นคู่มือ must-read อีกเล่มหนึ่งที่เเม่ ๆ ทุกคนห้ามพลาด เนื้อหาด้านในอ่านง่าย เข้าใจง่าย เป็นบทสั้น ๆ ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ ช่วยให้การเลี้ยงลูกมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
9. เลี้ยงลูกให้คิดเป็น
ผู้เขียน : จิตรลดา จันทร์ใบ (แม่เอ๋ เจ้าของเพจเลี้ยงลูกให้คิดเป็น) “สร้างลูก คิดเป็น ทำเป็น ไม่ใช่เรื่องยากเกินพลังรักของแม่”
หนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก เพื่อให้ลูกคิดเป็น โดยจะแบ่งออกเป็น 3 บทใหญ่ คือ การเลี้ยงดู การเรียนรู้ และถึงพ่อแม่ โดยในแต่ละบทจะมีบทย่อย หลายบทที่แนะนำวิธีสั้น ๆ หรือมุมมองในการเลี้ยงลูก
เพื่อฝึกให้ลูกได้คิดตัดสินใจ และใช้ชีวิตในรูปแบบของลูกเองอย่างมีเหตุผล อีกทั้งยังทำให้คุณพ่อคุณแม่ลองมองในมุมของลูก เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ได้เข้าใจลูกอย่างแท้จริง ไม่คิดแทนหรือบังคับลูกมากเกินไป
ซึ่งในแต่ละบทย่อย จะมีสรุปท้าย หรือคำคมที่เป็นคีย์เวิดสำคัญในการเลี้ยงลูกให้คิดเป็นอีกด้วย ภายในเล่มพิมพ์ 2 สี มีภาพประกอบน่ารัก ดึงดูด เนื้อหาภายในเล่มมาจากเพจดัง “เลี้ยงลูกให้คิดเป็น Creative Thinking Kids”
10. เลี้ยงลูกเชิงบวก
ผู้เขียน : แพทย์หญิงเสาวภา พรจินดารักษ์ “รวมบทความเทคนิคการเลี้ยงลูกเชิงบวก และเนื้อหาบทใหม่ที่ไม่เคยตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อน”
หนังสือ “เลี้ยงลูกเชิงบวกของหมอเสาวภา” เล่มนี้ เกิดขึ้นจากการรวบรวมบทความส่วนหนึ่งในเพจ “หมอเสาวภาเลี้ยงลูกเชิงบวก” และมีการเขียนบทใหม่เพิ่มอีกหลายบท เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจคอนเซ็ปต์การลูกเชิงบวกมากขึ้น
แล้วนำไปสู่การลงมือทำอย่างเข้าใจ เพื่อพัฒนาสมองของลูกพร้อม ๆ กับพัฒนาตัวตนเขาได้ การเลี้ยงดูที่มุ่งพัฒนาสมองลูก ให้ได้เรียนรู้การเข้าใจตนเอง เรียนรู้การฟังเหตุผลของคนอื่น เป็นตัวของตัวเองโดยไม่ละเมิดกฎกติกา
มีทักษะทางสังคม ไม่แกล้งเพื่อน และไม่โดนเพื่อนแกล้ง แก้ปัญหาได้อย่างมีวิจารณญาณ และสิ่งสำคัญที่สุดนั้นก็คือ สัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่ลูกที่ดี มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ทั้งหมดนี้คือความหมายของ “การเลี้ยงลูกเชิงบวก”
11. ช้าบ้างไม่เป็นไรสมองฝึกได้ทุกวัน
ผู้เขียน : Kato Toshinori (คะโตะ โทะชิโนะริ) ผู้แปล : ภัทร์อร พิพัฒนกุล
“รู้วิธีสังเกตเข้าใจวิธีดูแล ด้วย 33 กิจกรรมพัฒนาสมอง สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง ที่สัมพันธ์กับความบกพร่องทางพัฒนาการ เพื่อเสริมศักยภาพของเด็กให้ใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข”
เด็กไม่ค่อยพูด หยิบจับสิ่งของไม่ถนัด เขียนหนังสือไม่เก่ง หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ได้ช้า อาการเหล่านี้คือสัญญาณด้านพัฒนาสมองของสมองที่ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกต เพื่อปรับวิธีเลี้ยงดูลูกให้เหมาะสมกับพัฒนาการของพวกเขา
หนังสือ “ช้าบ้างไม่เป็นไร สมองเด็กฝึกได้ทุกวัน” เล่มนี้ จะช่วยให้คุณเข้าใจการเติบโตของสมองตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยเด็ก และเรียนรู้วิธีสังเกตความผิดปกติที่อาจส่งผลต่อการเรียนรู้ในภายหน้า
เพื่อรับมือปัญหาทางพัฒนาการของลูกได้อย่างเหมาะสม พร้อมการแนะนำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองผู้มีประสบการณ์วินิจฉัยลักษณะเฉพาะของสมองคนหลายวัย และอธิบายสาเหตุของความบกพร่องทางพัฒนาการที่เกิดจากสมองให้เห็นภาพเข้าใจง่าย
เพื่อให้จดจำไปปรับใช้ได้จริงวิธีฝึกสมองด้วย 33 กิจกรรมง่าย ๆ ที่นำไปใช้ได้ทุกวัน อาทิ เกมสลับกันอ่าน เกมเล่าเรื่องจากภาพ เกมจำภาพ เกมต่อคำ เกมเขียนในอากาศ เกมลูกบอลกระดาษ และอีกมากมาย
นำมาสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความผิดปกติทางสมอง ที่สัมพันธ์กับความบกพร่องทางพัฒนาการอย่างเป็นขั้นตอน ปฏิบัติตามได้ง่าย เพื่อเสริมศักยภาพของเด็กใด้ใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข
12. เข็นฝันขึ้นภูเขา
ผู้เขียน : พ.ญ. เบญจพร ตันตสูติ “ต้นทุนทางจิตใจสำหรับทุกคนที่มีความฝันหรือกำลังตามหาความฝัน บนเส้นทางของชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ”
เข็นฝันขึ้นภูเขา หนังสือเลี้ยงลูก เล่มนี้ ลำดับที่ 4 ของ พญ. เบญจพร ตันตสูติ เจ้าของผลงานชุดเข็นเด็กขึ้นภูเขา แต่ผลงานลำดับที่ 4 นี้ต่างออกไป เนื่องด้วยไม่ใช่เรื่องการเลี้ยงลูกอีกแล้ว แต่เป็นการเลี้ยงดูความฝันในใจของทุกคน
ไม่ว่าจะเป็นเด็ก พ่อแม่ ผู้ใหญ่ วัยรุ่น วัยทำงาน ทุกคนควรมีความฝันในใจว่าด้วยเรื่องการเลี้ยงดูความฝันในใจของทุกคน และควรลองค้นดูว่า ความฝันนั้นยังคงส่องสว่างอยู่ในใจเรา หรือมันมอดดับไปแล้ว
เนื้อหาในเล่มจะช่วยให้ผู้อ่านจุดไฟฝันในใจของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง และประคับประคองหล่อเลี้ยงไฟฝันนั้นไม่ให้มอดดับลงไป ในวันที่มีข้อจำกัด ไม่ใช่อุปสรรคของความฝัน โอกาสมีเข้ามาเสมอ แต่เราจะมองเห็น และคว้ามันไว้หรือไม่
บางท่านไม่กล้าฝัน เพราะกลัวความผิดพลาด ขาดความเชื่อมั่น หนังสือนี้ จะช่วยให้พ่อแม่มีความมั่นใจ ก่อนที่จะไปสอนลูก เป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น อย่างทำพูดที่ว่า “จงเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรก็ตาม”
13. วิธีกระตุ้นสมอง และฝึกพัฒนาการ เด็กแรกเกิด – 6 ขวบ
ผู้เขียน : Margaret Sasse (มากาเร็ท แซซเซ่) ผู้แปล : พ.ญ. เกศินี โอวาสิทธิ์ “135 กิจกรรม และวิธีเล่นกับเด็กเล็ก เพื่อกระตุ้นสมอง กล้ามเนื้อ และพัฒนาการทุกด้านให้สมบูรณ์เต็มที่ พร้อมภาพประกอบกว่า 400 ภาพ”
หนังสือเลี้ยงลูก วิธีกระตุ้นสมอง และฝึกพัฒนาการ เด็กแรกเกิด – 6 ขวบ ฉบับปรับปรุง เล่มนี้ เป็นหนังสือวิธีการเล่นกับลูก อย่างง่าย ๆ แปลจากมาหนังสือขายดี Smart Start เขียนโดย “มากาเร็ท แซซเซ่”
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านพัฒนาเด็กจากประเทศออสเตรเลีย ถ่ายทอดผ่านประสบการณ์โดย “แพทย์หญิงเกศินี โอวาสิทธิ์” กุมารแพทย์ผู้ชำนาญการด้านพัฒนาการของเด็ก เป็นหนังสือที่จะมาช่วยสร้างพัฒนาการให้กับเด็กเล็กถึงหกขวบ
กับ 135 กิจกรรม และวิธีเล่นกับเด็กเล็ก พร้อมภาพประกอบกว่า 400 ภาพ ที่คุณพ่อคุณแม่สามรถนำไปเล่นกับลูกได้ที่บ้าน เพื่อเป็นการกระตุ้นสมอง กล้ามเนื้อ และพัฒนาการในทุก ๆ ด้านให้สมบูรณ์อย่างเต็มที่
เป็นการเตรียมความพร้อม เพื่อการเรียนรู้ที่มีศักยภาพ ของเด็กน้อย ให้มีชีวิตที่ดีต่อไปในอนาคต หนังสือเล่มนี้เป็นที่นิยมแพร่หลายประเทศ เป็นหนังสือที่นำไปใช้ได้ผลในเด็ก อ่านง่าย เข้าใจง่าย
อีกอย่างหนังสือเล่มนี้ยังเป็นหนังสือที่สร้างช่วงเวลาที่ดีให้กับพ่อแม่ลูก เกิดความสัมพันธ์ที่ดี ลูกรู้สึกได้ถึงความรัก ความเอาใจใส่ เวลามีพ่อแม่มาเล่นด้วย ลูกน้อยจะมีอารมณ์ที่ดี มีความสุข อยากให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดี ควรเล่นกับลูกบ้างนะคะ
14. เลี้ยงลูกให้ถูกตอน 3 ปี ลูกจะทำดีไปตลอดชีวิต
ผู้เขียน : เฉิน ซู่ เจวียน ผู้แปล : หวัง เผิง “บันทึกของผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและจิตวิทยาเด็ก”
หนังสือ “เลี้ยงลูกให้ถูกตอน 3 ปี ลูกจะทำดีไปตลอดชีวิต” เล่มนี้ เป็นผลงานของ “เฉิน ซู่ เจวียน” ผู้เชียวชาญด้านพัฒนาการและจิตวิทยาเด็ก โดยเธอพยายามชี้ให้เห็นว่า การให้การศึกษาแก่เด็กนั้น
ควรต้องแบ่งออกเป็นช่วงเวลาตามความสำคัญ และตามขั้นตอนของกระบวนการการเติบโตของเด็ก นั่นคือช่วงอายุ 3 ขวบนี่เอง เป็นช่วงที่พัฒนาเด็กได้หลากหลายด้าน อาทิ การรู้จักคิด การจำ บุคลิกภาพ
การสอนเด็กแรกเริ่ม ก่อนถึง 3 ขวบ นั้น เป็นช่วงที่ไม่เพียงแค่สอน ควรแสดงให้เห็น เด็กจะเกิดการเรียนรู้จากพ่อแม่ โดยการที่ให้เด็กรู้จักรับ รู้จักให้ รู้จักการช่วยเหลือตนเองบ้าง และควรสอนเรื่องการเข้าสังคมก่อนที่ลูกจะไปเจอเพื่อนที่โรงเรียน
ซึ่งผลงานของเธอเล่มนี้ ได้เปลี่ยนมุมมองการเลี้ยงดูเด็กของพ่อแม่อย่างมากมาย ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-แม่กับลูก กับมารักใคร่กลมเกลียวกันมากขึ้นกว่าเดิม และได้สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ตลอดจนความสุขให้กับหลาย ๆ ครอบครัว
15. จัดการอารมณ์พ่อแม่ = ดูแลอารมณ์ลูก
ผู้เขียน : Carla Naumburg (คาร์ลา นาล์มเบิร์ก ดร.) ผู้แปล : วโรดม วณิชศิลป์ “วิธีจัดการกับตัวกระตุ้นอารมณ์ พื้นที่ทางกายภาพและทางความคิด ที่คุณพ่อคุณแม่ทำได้จริง”
หนังสือแนะนำเทคนิคการจัดการความเครียด และอารมณ์ของพ่อแม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ระเบิดอารมณ์ใส่ลูก อาการเหล่านี้ส่งผลร้ายกับลูกไม่ใช่เล่น ๆ และการจัดการอารมณ์เหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่หนังสือเล่มนี้มีคำตอบที่จะช่วยพ่อแม่ทุกคนได้ มาพบกับเคล็ดลับจัดการความเครียด ซึ่งเป็นบ่อเกิดของอารมณ์ไม่พึงประสงค์ทั้งหลาย เคล็ดลับจัดการยามลูกน้อยตัวป่วนยั่วอารมณ์สุด ๆ รวมถึงเคล็ดลับชะลออารมณ์ที่กำลังพุ่งแทบปรอทแตก
และวิธีไกล่เกลี่ยกับลูกหลังพายุอารมณ์พัดผ่านไป ไม่ได้สร้างความเสียหายร้ายแรง หรือจะแก้ไขไม่ได้ อีกทั้งมิใช่ข้อบ่งชี้ว่าเราเป็นพ่อแม่ที่แย่ เด็กที่ถูกพ่อแม่ทำร้ายยืนยันที่จะอยู่กับพ่อแม่ และไม่ยอมกล่าวร้ายพ่อแม่
พวกเขาต้องการพ่อแม่ และพวกเขายินดีอดทนอยู่กับพ่อแม่เสมอ แต่ว่าถ้าพ่อแม่รู้เช่นนี้แล้ว ยังจะไม่พยายามพัฒนาตัวเองบ้างล่ะ หรือพวกเด็ก ๆ ทนอยู่กับเราได้ เพราะเขาไว้ใจว่าเราจะเป็นพ่อแม่ที่ดีได้ ดังนั้นปรับปรุงแก้ไขตอนนี้ก็ยังไม่สาย
สรุป
สำหรับ หนังสือเลี้ยงลูก หนังสือแนะนำการเลี้ยงลูก หนังสือทุกเล่มล้วนแต่มีประโยชน์ แต่หนังสือที่อ่านแล้วรู้สึกเข้าใจง่าย นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง แก้ไขปัญหา หรือแม้กระทั้งเป็นคู่มือในการสอนลูก
เสริมสร้างพัฒนาการของลูกนั้น หนังสือดี ตอบโจทย์เรา บางครั้งก็หายาก พอสมควร การที่เราซื้อหนังสือผ่านออนไลน์ ข้อดีคือ ได้อ่านข้อมูลเนื้อหาก่อนตัดสินใจซื้อ ได้อ่านรีวิวจากคุณพ่อคุณแม่ที่ได้ซื้อไปอ่านจริง
คุณพ่อคุณแม่เคยเป็นกันไหม เวลาไปซื้อหนังสือสักเล่มที่ร้านขายหนังสือ หนังสือนั้นมีการห่อหุ้มพลาสติก ทำให้เราไม่รู้เนื้อหาข้างใน บ้างครั้งตัดสินใจซื้อมาอาจจะใช้ไม่ได้ ไม่ตอบโจทย์อย่างที่ต้องการ
อย่างไรแล้วคุณพ่อคุณแม่ที่ได้อ่านบทความนี้ อาจตัดสินใจหยิบหนังสือได้สักเล่ม 2 เล่ม ได้ง่ายขึ้น หนังสือที่จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงลูกได้ง่าย เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่มือใหม่นะคะ ขอให้เลี้ยงลูกอย่างมีความสุข