ในยุคที่มลภาวะทางอากาศรุนแรงขึ้นทุกวัน ทั้งฝุ่น PM2.5 ควันรถ ควันบุหรี่ หรือสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ ล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราโดยตรง โดยเฉพาะเมื่อเราต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในบ้านหรือออฟฟิศ การหายใจเอาอากาศไม่สะอาดเข้าไปอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพทั้งระยะสั้นและระยะยาว เครื่องฟอกอากาศ จึงกลายเป็นอีกหนึ่งไอเทมจำเป็นที่หลายบ้านเลือกใช้เพื่อช่วยกรองอากาศให้บริสุทธิ์และปลอดภัยมากขึ้น
ในบทความนี้ ตังค์ทอน จะพาคุณไปพบกับ 10 อันดับ เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดี คุณภาพเยี่ยม น่าใช้งาน รวมไปถึง เราก็มีวิธีเลือกเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะกับความต้องการของคุณมาฝากด้วย เพื่อให้คุณและคนที่คุณรักได้สูดอากาศดี ๆ ในทุกวันได้อย่างมั่นใจ
วิธีการเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศ : คู่มือสำหรับมือใหม่ที่อยากได้อากาศบริสุทธิ์ในบ้าน
มลพิษทางอากาศไม่ได้อยู่แค่ภายนอกบ้าน แต่อาจแฝงตัวอยู่ภายในบ้านโดยที่เราไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นฝุ่น PM2.5, สารก่อภูมิแพ้, เชื้อโรค หรือกลิ่นไม่พึงประสงค์ ซึ่งล้วนส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว เครื่องฟอกอากาศจึงกลายเป็นอุปกรณ์จำเป็นที่หลายบ้านเริ่มให้ความสำคัญ แต่สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มสนใจ อาจสงสัยว่า “ควรเลือกแบบไหนดี?” บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจทีละขั้นตอน เพื่อให้คุณสามารถเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศที่เหมาะสมกับบ้านและไลฟ์สไตล์ของคุณได้อย่างมั่นใจ
1. เริ่มจากทำความเข้าใจว่าเครื่องฟอกอากาศคืออะไร
เครื่องฟอกอากาศ เป็นอุปกรณ์ที่มีหน้าที่กรองอากาศภายในห้องให้สะอาดขึ้น โดยการดูดอากาศเข้าไปผ่านชุดกรองที่มีหลายชั้น แล้วปล่อยอากาศที่สะอาดออกมาอีกครั้ง เครื่องฟอกอากาศไม่ได้เพิ่มออกซิเจน หรือปรับอุณหภูมิ แต่จะช่วยลดปริมาณฝุ่นละออง กลิ่นไม่พึงประสงค์ สารก่อภูมิแพ้ และเชื้อโรคบางชนิดได้
2. เลือกตามขนาดห้อง : ขนาดเครื่องต้องสัมพันธ์กับพื้นที่
สิ่งแรกที่ควรพิจารณาคือขนาดของห้องที่จะใช้เครื่องฟอกอากาศ โดยดูจาก “ค่า CADR” (Clean Air Delivery Rate) ซึ่งเป็นค่าที่บอกว่าเครื่องสามารถฟอกอากาศได้เร็วแค่ไหน
- ห้องขนาดเล็ก (ไม่เกิน 20 ตร.ม.) : เลือกเครื่องขนาดเล็กหรือพกพาได้
- ห้องกลาง (20–35 ตร.ม.) : เลือกเครื่องที่มี CADR ประมาณ 200–300 m³/h
- ห้องใหญ่ (เกิน 35 ตร.ม.) : ควรใช้เครื่องที่มีพลังสูง หรือใช้หลายเครื่องกระจายจุด
💡 เคล็ดลับ : ดูที่คำแนะนำของผู้ผลิตเกี่ยวกับ “พื้นที่ครอบคลุม” ของรุ่นนั้น ๆ เพื่อความมั่นใจว่าเหมาะกับพื้นที่บ้านคุณ
3. พิจารณาระบบกรองอากาศ : ยิ่งหลายชั้น ยิ่งมั่นใจ
เครื่องฟอกอากาศคุณภาพดีควรมีระบบกรองหลายชั้น เพื่อจัดการกับมลภาวะหลากหลายประเภท เช่น
- Pre-filter : กรองฝุ่นหยาบ ขนสัตว์ เศษผง
- HEPA filter : ตัวสำคัญที่สุด กรองฝุ่นละเอียด PM2.5 และสารก่อภูมิแพ้ได้กว่า 99.97%
- Activated Carbon filter : ดักจับกลิ่นไม่พึงประสงค์และสารเคมี
- UV หรือ Ionizer (แล้วแต่รุ่น) : เสริมการฆ่าเชื้อโรค แบคทีเรีย หรือไวรัส
💡 เคล็ดลับ : อย่าลืมเช็กว่าไส้กรองเปลี่ยนง่ายหรือไม่ และมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนมากน้อยแค่ไหน
4. ฟังก์ชันเสริมที่ช่วยเพิ่มความสะดวก
เครื่องฟอกอากาศสมัยใหม่มักมีฟีเจอร์เพิ่มเติมที่ช่วยให้ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น
- เซนเซอร์วัดคุณภาพอากาศ (AQI) : บอกสถานะอากาศแบบเรียลไทม์
- โหมดอัตโนมัติ (Auto Mode) : ปรับความแรงตามคุณภาพอากาศ
- โหมดกลางคืน (Sleep Mode) : ทำงานเงียบ เหมาะกับตอนนอน
- เชื่อมต่อแอปฯ / Wi-Fi : ควบคุมผ่านมือถือได้
- ล็อกเด็ก / ตั้งเวลา / เตือนเปลี่ยนไส้กรอง
💡 เคล็ดลับ : หากมีเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยง ฟังก์ชันเหล่านี้จะเพิ่มความปลอดภัยและสะดวกมากขึ้น
5. ระดับเสียงขณะทำงาน: ยิ่งเงียบยิ่งนอนหลับสบาย
อย่ามองข้าม “ระดับเสียง” โดยเฉพาะหากตั้งเครื่องในห้องนอน เครื่องที่มีเสียงเบากว่า 30 เดซิเบลถือว่าทำงานได้เงียบมากจนแทบไม่รบกวนการนอน
6. ค่าใช้จ่ายระยะยาว : อย่ามองแค่ราคาตัวเครื่อง
นอกจากราคาเครื่องเริ่มต้นแล้ว ยังต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายระยะยาว ได้แก่
- ค่าเปลี่ยนไส้กรอง : โดยเฉลี่ยเปลี่ยนทุก 6–12 เดือน (ขึ้นกับรุ่นและการใช้งาน)
- ค่าไฟฟ้า : เครื่องประหยัดพลังงานจะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว
7. แบรนด์และการรับประกัน : ความเชื่อมั่นที่ต้องมี
เลือกแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือ บริการหลังการขายดี และมีอะไหล่หรือไส้กรองสำรองขายต่อเนื่อง โดยเฉพาะถ้ามีการรับประกันตัวเครื่อง 1–2 ปีขึ้นไปจะช่วยให้ใช้งานได้มั่นใจมากขึ้น
10 อันดับ เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 คุณภาพเยี่ยม ใช้งานง่าย ฟอกอากาศได้อย่างสะอาด
ต่อไปนี้จะเป็น เครื่องฟอกอากาศ ที่เราคัดสรรมาเป็นอย่างดี โดยทั้ง 10 รุ่นที่เรานำมาฝาก มีคุณภาพดี เหมาะแก่การใช้งาน และกำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ สามารถดูรีวิวด้านล่างได้เลยครับ
1. Dyson Purifier Cool ™ Air Purifier Fan TP07
ราคา 28,900 บาท
กรองอากาศได้ละเอียดถึง PM 0.1 ใช้งานง่ายผ่านแอปพลิเคชัน
Dyson Purifier Cool™ TP07 เป็นเครื่องฟอกอากาศและพัดลมอัจฉริยะที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานในบ้าน มาพร้อมระบบกรองอากาศแบบ HEPA + Carbon ที่สามารถดักจับฝุ่นขนาดเล็กถึง PM 0.1 และก๊าซมลพิษได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้อากาศในบ้านสะอาดสดชื่น แม้ในห้องขนาดใหญ่ก็สามารถหมุนเวียนอากาศได้อย่างทั่วถึง
นอกจากนี้ TP07 ยังมาพร้อมฟังก์ชันการใช้งานที่ทันสมัยผ่านแอปพลิเคชัน Dyson Link ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมและปรับโหมดการทำงานได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นโหมดพัดลมหรือโหมดฟอกอากาศ ที่สำคัญยังมีโหมดเงียบที่ทำงานได้เบากว่าปกติถึง 20% เหมาะสำหรับการใช้งานในห้องนอนโดยไม่รบกวนการพักผ่อน ด้วยราคา 28,900 บาท ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าเพื่อสุขภาพอากาศที่ดีในบ้านของคุณ
2. PHILIPS Air Purifier Serie 1000i เครื่องฟอกอากาศ รุ่น AC1715/21
ราคา 8,219 บาท
ฟอกอากาศได้เร็วใน 10 นาที กรองไวรัส และมลพิษได้ 99.9%
PHILIPS Air Purifier Serie 1000i รุ่น AC1715/21 เป็นเครื่องฟอกอากาศประสิทธิภาพสูงที่ตอบโจทย์ทั้งความรวดเร็วและประสิทธิภาพ ด้วยระบบ NanoProtect HEPA และผงถ่านกัมมันต์ ที่สามารถกรองไวรัส สารก่อภูมิแพ้ และมลพิษขนาดเล็กได้ถึง 99.9% พร้อมอัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์ (CADR) สูงถึง 300 ลบ.ม./ชม. ทำให้ฟอกอากาศในห้องขนาด 16-78 ตร.ม. ได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในเวลาไม่เกิน 10 นาที
การใช้งานก็ง่ายดาย เพียงกดปุ่มเดียว หรือควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน CleanHome+ ที่ช่วยให้คุณปรับโหมดการทำงานและตรวจสอบคุณภาพอากาศได้แบบเรียลไทม์ ด้วยราคา 8,219 บาท เครื่องฟอกอากาศรุ่นนี้จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและเหมาะสมสำหรับทุกบ้านที่ต้องการอากาศบริสุทธิ์และปลอดภัยอย่างรวดเร็ว
3. เครื่องฟอกอากาศ Levoit Core 300S Air Purifier
ราคา 4,799 บาท
กรองอากาศได้ละเอียดถึง 0.3 ไมครอน พร้อมควบคุมอัจฉริยะผ่านแอป VeSync
Levoit Core 300S Air Purifier เป็นเครื่องฟอกอากาศประสิทธิภาพสูงที่มาพร้อมระบบกรอง H13 True HEPA ที่สามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็กถึง 0.3 ไมครอนได้ 99.97% พร้อมตัวกรองถ่านกัมมันต์ที่ช่วยกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์และควันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยี VortexAir ช่วยให้เครื่องทำงานได้อย่างทรงพลัง ด้วยอัตราการสร้างอากาศบริสุทธิ์ (CADR) 195 ลบ.ม./ชม. สามารถรีเฟรชอากาศในพื้นที่ 51 ตร.ม. ได้ถึง 2 ครั้งต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ Levoit Core 300S ยังมาพร้อมฟังก์ชันอัจฉริยะที่ควบคุมได้ผ่านแอป VeSync และเชื่อมต่อกับผู้ช่วยเสียงอย่าง Amazon Alexa หรือ Google Assistant เซ็นเซอร์ฝุ่นเลเซอร์ช่วยตรวจสอบคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ และโหมดการนอนหลับที่เงียบเพียง 22dB ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานในห้องนอน โดยยังประหยัดพลังงานด้วยการใช้ไฟฟ้าเพียง 15W เท่านั้น ในราคา 4,799 บาท ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
4. Dyson Purifier Cool Formaldehyde TP09
ราคา 45,800 บาท
กำจัดฟอร์มาลดีไฮด์และมลพิษ พร้อมกระจายอากาศสะอาดทั่วห้อง
Dyson Purifier Cool Formaldehyde TP09 คือสุดยอดนวัตกรรมเครื่องกรองอากาศที่ไม่เพียงแค่กรองฝุ่น PM2.5 แต่ยังสามารถตรวจจับและทำลายฟอร์มาลดีไฮด์ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องเปลี่ยนไส้กรอง ระบบการกรอง HEPA และถ่านกัมมันต์ช่วยกำจัด 99.95% ของสารมลพิษในอากาศ ขณะที่เทคโนโลยี Air Multiplier™ กระจายอากาศบริสุทธิ์ได้ทั่วห้อง
นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังถูกออกแบบให้เงียบขึ้นถึง 20% พร้อมฟังก์ชันหมุนส่าย 350 องศา ควบคุมผ่านแอป Dyson Link และรองรับคำสั่งเสียง ให้คุณติดตามคุณภาพอากาศได้ทุกที่ เหมาะสำหรับคนรักสุขภาพและต้องการอากาศสะอาดแบบพรีเมียมในบ้านของคุณ
5. SAMSUNG เครื่องฟอกอากาศ รุ่น AX32BG3100GBST
ราคา 6,990 บาท
ฟอกอากาศบริสุทธิ์ ขจัดฝุ่น PM0.3 ได้ 99.9% พร้อมควบคุมผ่านแอป
SAMSUNG AX32BG3100GBST เป็นเครื่องฟอกอากาศที่ช่วยให้บ้านของคุณสดชื่นยิ่งขึ้น ด้วยระบบกรองหลายขั้นตอนที่สามารถขจัดฝุ่นละอองขนาดเล็กถึง PM0.3 ได้มากถึง 99.9% พร้อมไส้กรองที่ช่วยดักจับฝุ่นและต้านแบคทีเรีย เหมาะสำหรับพื้นที่ขนาดไม่เกิน 41 ตร.ม. ให้คุณมั่นใจได้ถึงอากาศสะอาดทุกลมหายใจ
มาพร้อมฟังก์ชันสุดอัจฉริยะ สามารถสั่งงานผ่าน Wi-Fi ด้วยแอป SmartThings ให้คุณควบคุมเครื่องฟอกอากาศได้จากทุกที่ และยังมีไฟแสดงคุณภาพอากาศแบบ 4 สี (Air Sensing Light) ที่ช่วยให้คุณรับรู้สถานะอากาศในห้องได้แบบเรียลไทม์ ทั้งหมดนี้มาในราคาคุ้มค่า เหมาะสำหรับคนที่ต้องการอากาศบริสุทธิ์โดยไม่ต้องจ่ายแพง
6. Bwell เครื่องฟอกอากาศ รุ่น CF-8005
ราคา 6,290 บาท
ฟอกอากาศ 6 ขั้นตอน พร้อมฆ่าเชื้อโรคด้วยรังสี UV ในขนาดกะทัดรัด
Bwell CF-8005 คือเครื่องฟอกอากาศขนาดเล็กที่ทรงพลัง ออกแบบมาเพื่อให้คุณหายใจได้สะอาดยิ่งขึ้นในพื้นที่ขนาด 10 – 20 ตร.ม. ด้วยระบบกรองอากาศ 6 ขั้นตอน สามารถดักจับได้ทั้งฝุ่นขนาดใหญ่ ฝุ่นละอองเล็ก PM2.5 รวมถึงแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังมีระบบฆ่าเชื้อโรคด้วยรังสี UV ช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าอากาศที่คุณสูดเข้าไปสะอาดปลอดภัย
ตัวเครื่องเหมาะกับการใช้งานในห้องนอนหรือบนโต๊ะทำงาน ด้วยดีไซน์กะทัดรัด วางบนหัวเตียงได้สบาย พร้อมฟังก์ชันปรับแรงลมได้ 4 ระดับ และเซนเซอร์วัดค่าฝุ่นที่แจ้งเตือนคุณเมื่อถึงเวลาต้องเปลี่ยนแผ่นกรอง ฟังก์ชันครบครันในราคาสุดคุ้ม เหมาะสำหรับคนที่ต้องการอากาศบริสุทธิ์ในพื้นที่ส่วนตัว
7. เครื่องฟอกอากาศ Airdog X5Pro (D)Air Purifier
ราคา 31,705 บาท
ฟอกอากาศล้ำสมัย กรองละเอียดกว่าระบบ HEPA ถึง 20 เท่า
Airdog X5Pro (D) คือเครื่องฟอกอากาศระดับพรีเมียมที่มาพร้อมเทคโนโลยีการกรอง 4 ชั้นที่เหนือกว่าระบบ HEPA ถึง 20 เท่า ช่วยขจัดฝุ่นละอองขนาดเล็กถึง 0.0146 ไมครอน รวมถึงสารเคมี ควันบุหรี่ และเชื้อโรคในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้อากาศสะอาด สดชื่น และปลอดภัยยิ่งขึ้น
ตัวเครื่องรองรับการปรับโหมดการทำงานถึง 6 ระดับ และสามารถสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Google Assistant และ Alexa เพิ่มความสะดวกในการควบคุม เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคุณภาพอากาศระดับสูงสุดในบ้านหรือสำนักงาน ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำที่ช่วยให้คุณหายใจได้อย่างมั่นใจทุกวัน
8. Blueair HealthProtect™ 7710i เครื่องฟอกอากาศ กรองฝุ่น PM2.5
ราคา 45,920 บาท
ฟอกอากาศ 360° ตรวจจับมลพิษตลอด 24 ชม. พร้อมเซ็นเซอร์อัจฉริยะ
Blueair HealthProtect™ 7710i คือเครื่องฟอกอากาศระดับไฮเอนด์ที่ออกแบบมาเพื่อมอบอากาศบริสุทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ช่วยกำจัดฝุ่น PM2.5 และสารก่อภูมิแพ้ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมเซ็นเซอร์อัจฉริยะที่ตรวจสอบคุณภาพอากาศตลอด 24 ชั่วโมง แม้ในขณะที่เครื่องปิดอยู่ นอกจากนี้ ยังมีระบบป้องกันการเติบโตของเชื้อโรคในไส้กรอง ช่วยให้คุณมั่นใจได้ถึงความสะอาดของอากาศที่หายใจเข้าไป
ด้วยดีไซน์ช่องลมออกแบบ 360° เครื่องสามารถกระจายอากาศบริสุทธิ์ไปทั่วห้องได้อย่างทั่วถึง มีระบบแจ้งเตือนอายุไส้กรองแบบเรียลไทม์ และสามารถตรวจวัดค่าฝุ่น PM10, PM2.5, PM1 รวมถึง VOC, ความชื้น และอุณหภูมิห้อง โครงสร้างตัวเครื่องทำจากเหล็กกล้าเคลือบพิเศษ แข็งแรง ทนทาน พร้อมล้อเลื่อนและช่องเก็บสายไฟ สะดวกต่อการใช้งานและเคลื่อนย้าย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเครื่องฟอกอากาศคุณภาพสูงในบ้านหรือสำนักงาน
9. Electrolux เครื่องฟอกอากาศ รุ่น EP72-46DGA
ราคา 17,280 บาท
ฟอกอากาศ ควบคุมความชื้น และทิศทางลม ในเครื่องเดียว
Electrolux EP72-46DGA เป็นเครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะที่มาพร้อมฟังก์ชัน 3-in-1 ทั้งฟอกอากาศ ควบคุมความชื้น และพัดลมกระจายลมสดชื่น เหมาะสำหรับห้องขนาด 45 ตร.ม. ด้วยระบบกรอง 5 ขั้นตอน รวมถึง HEPA13 และ Activated Carbon สามารถดักจับฝุ่นขนาดเล็ก PM1, 2.5 และ 10 ได้ละเอียดถึง 0.3 ไมครอน ทำให้อากาศสะอาด สดชื่น และช่วยลดสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน
ใช้งานง่ายด้วยระบบสัมผัส แสดงผลคุณภาพอากาศแบบ LED และ AQI Index พร้อมรองรับการควบคุมผ่านแอปพลิเคชันมือถือ สามารถเลือกปรับโหมดอัตโนมัติ (Smart Mode) หรือควบคุมด้วยตัวเองตามต้องการ รวมถึงตั้งค่าความชื้นได้ 3 ระดับ (40%, 50% และ 60%) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการอากาศบริสุทธิ์พร้อมการควบคุมสภาพแวดล้อมในห้องให้สมดุลที่สุด
10. Honeywell เครื่องฟอกอากาศ รุ่น Air Touch Premium
ราคา 23,520 บาท
-เทคโนโลยีฟอกอากาศระดับยานอวกาศ พร้อมระบบกรองหลายชั้น
Honeywell Air Touch Premium มาพร้อมระบบฟอกอากาศหลายชั้นที่ได้รับสิทธิบัตรเฉพาะ ช่วยดักจับฝุ่นละอองและสารก่อภูมิแพ้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ Pre-Filter ที่กำจัดฝุ่น PM10 ไปจนถึงแผ่นกรอง HEPA ที่ขจัดฝุ่น PM2.5 และ PM0.1 ที่เล็กกว่าเส้นผมมนุษย์หลายเท่า ไฮไลต์สำคัญคือแผ่นกรอง HiSiv ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในยานอวกาศ สามารถกำจัดกลิ่น สารเคมี และฟอร์มาลดีไฮด์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ดีกว่าแผ่นคาร์บอนทั่วไป
เครื่องนี้ออกแบบให้ลมหมุนเวียนแบบ 3 มิติ ลดมุมอับ เพิ่มประสิทธิภาพการกรองทั่วห้อง ควบคุมง่ายด้วยโหมดปรับแรงลม 14 ระดับ และระบบอัตโนมัติที่ปรับการทำงานตามคุณภาพอากาศ เซ็นเซอร์ตรวจวัดค่าฝุ่นแบบเรียลไทม์ พร้อมแสดงสถานะอากาศเป็นสัญลักษณ์สีวงไฟ ใช้งานสะดวกและช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าอากาศในบ้านจะสะอาดบริสุทธิ์ตลอดเวลา
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเครื่องฟอกอากาศ
1. เครื่องฟอกอากาศทำงานอย่างไร?
เครื่องฟอกอากาศใช้ตัวกรองอากาศ (เช่น HEPA, คาร์บอน) หรือเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น ไอออน หรือแสง UV-C เพื่อกำจัดฝุ่นละออง ควัน กลิ่น เชื้อโรค และสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ
2. เครื่องฟอกอากาศช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้หรือไม่?
ช่วยได้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะเครื่องที่มีตัวกรอง HEPA ซึ่งสามารถดักจับฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ และสารก่อภูมิแพ้ในอากาศได้
3. เครื่องฟอกอากาศจำเป็นต้องเปลี่ยนไส้กรองบ่อยแค่ไหน?
ขึ้นอยู่กับประเภทของไส้กรองและการใช้งาน โดยปกติ
- ไส้กรอง HEPA : ควรเปลี่ยนทุก 6-12 เดือน
- ไส้กรองคาร์บอน : ควรเปลี่ยนทุก 3-6 เดือน
- ไส้กรองล้างทำความสะอาดได้ : ควรล้างตามคำแนะนำของผู้ผลิต
4. เครื่องฟอกอากาศช่วยกำจัดกลิ่นได้หรือไม่?
หากมีไส้กรองคาร์บอนแบบ Activated Carbon จะช่วยดูดซับกลิ่นไม่พึงประสงค์ เช่น ควันบุหรี่ หรือกลิ่นอาหารได้
5. เครื่องฟอกอากาศช่วยฆ่าเชื้อโรคหรือไวรัสได้หรือไม่?
เครื่องที่มีเทคโนโลยี UV-C หรือ Plasma Ionizer อาจช่วยลดเชื้อโรคและไวรัสในอากาศได้ แต่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อโดยตรง
6. ควรใช้เครื่องฟอกอากาศขนาดไหนให้เหมาะกับห้อง?
เลือกขนาดตามพื้นที่ห้อง โดยพิจารณาค่าความสามารถในการฟอกอากาศ (CADR) หรือดูจากคำแนะนำของผู้ผลิต เช่น
- ห้องขนาด 10-20 ตร.ม. → CADR ประมาณ 100-150 ลบ.ม./ชม.
- ห้องขนาด 20-40 ตร.ม. → CADR ประมาณ 200-300 ลบ.ม./ชม.
7. สามารถเปิดเครื่องฟอกอากาศตลอด 24 ชั่วโมงได้หรือไม่?
สามารถเปิดได้ แต่ควรพักเครื่องบ้างหากไม่มีโหมดประหยัดพลังงาน เพื่อลดการสึกหรอของมอเตอร์และยืดอายุการใช้งาน
8. เครื่องฟอกอากาศกินไฟมากหรือไม่?
ส่วนใหญ่ใช้พลังงานไม่มาก ประมาณ 20-100 วัตต์ ขึ้นอยู่กับขนาดและโหมดการทำงาน ถ้าเปิดต่อเนื่องอาจใช้ไฟประมาณ 10-50 บาทต่อเดือน
9. ควรวางเครื่องฟอกอากาศตรงไหนในห้อง?
ควรวางในตำแหน่งที่อากาศไหลเวียนสะดวก เช่น กลางห้องหรือใกล้แหล่งมลภาวะ (เช่น ใกล้หน้าต่างหรือจุดที่มีควัน) หลีกเลี่ยงการวางชิดผนังหรือมุมอับ
10. เครื่องฟอกอากาศต่างจากเครื่องปรับอากาศอย่างไร?
- เครื่องฟอกอากาศ : กำจัดฝุ่น ควัน และสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ
- เครื่องปรับอากาศ : ปรับอุณหภูมิของอากาศ แต่ไม่สามารถกรองอากาศได้ดีเท่ากับเครื่องฟอกอากาศ
บทส่งท้าย
เครื่องฟอกอากาศเป็นตัวช่วยสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่สะอาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยช่วยลดฝุ่น ควัน และสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับพื้นที่และดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เครื่องทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ หากคุณกำลังมองหาวิธีปรับคุณภาพอากาศภายในบ้าน เครื่องฟอกอากาศก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับสุขภาพของคุณและครอบครัว