10 ที่ชาร์จในรถ ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 ชาร์จแบตไว ได้มาตรฐาน ใช้งานได้นาน

ที่ชาร์จในรถ ยี่ห้อไหนดี

ในยุคที่สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน การมี ที่ชาร์จในรถ ติดไว้ถือเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องเดินทางบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขับรถไปทำงาน ท่องเที่ยว หรือใช้รถเป็นส่วนหนึ่งของการทำงาน การที่แบตหมดระหว่างทางอาจทำให้พลาดการติดต่อสำคัญ หรือใช้งานแผนที่นำทางไม่ได้ ดังนั้น การเลือกที่ชาร์จในรถที่ดีและเหมาะสมกับการใช้งาน จึงเป็นสิ่งที่ช่วยให้การเดินทางราบรื่นและสะดวกสบายมากขึ้น

ในบทความนี้ ตังค์ทอน จะมาแนะนำ 10 อันดับ ที่ชาร์จในรถ คุณภาพดี เหมาะสำหรับใช้งาน ให้ทุกคนได้รับทราบกัน พร้อมแนะนำวิธีเลือกซื้อให้เหมาะกับอุปกรณ์ของคุณ รวมถึงรีวิวรุ่นที่น่าสนใจ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกที่ชาร์จที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ดีที่สุด

วิธีเลือกซื้อที่ชาร์จในรถให้เหมาะกับการใช้งาน

ที่ชาร์จในรถเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้คุณสามารถเติมพลังให้กับสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ได้สะดวกระหว่างเดินทาง แต่หากเลือกซื้อไม่ดี อาจเจอปัญหา ชาร์จไฟช้า ไฟไม่เสถียร หรือใช้ไปไม่นานก็เสีย ดังนั้น หากคุณเป็นมือใหม่และยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับที่ชาร์จในรถ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีเลือกซื้อที่เหมาะสมกับการใช้งานของคุณมากที่สุด

1. เลือกประเภทของที่ชาร์จในรถให้เหมาะกับพอร์ตของรถ

ก่อนอื่นคุณต้องรู้ว่า รถของคุณมีพอร์ตแบบไหน เพราะที่ชาร์จในรถมีหลายประเภท เช่น

  • ที่ชาร์จแบบเสียบช่องจุดบุหรี่ (Car Charger) – เป็นรุ่นที่นิยมมากที่สุด เพราะรถยนต์ส่วนใหญ่มีช่องจุดบุหรี่ให้ใช้งาน แค่เสียบที่ชาร์จลงไปก็พร้อมใช้งานทันที
  • ที่ชาร์จแบบพอร์ต USB ในตัวรถ – รถยนต์รุ่นใหม่ ๆ หลายคันมักมีพอร์ต USB มาให้ ซึ่งบางครั้งจ่ายไฟได้ต่ำกว่าที่ชาร์จเฉพาะทาง ควรตรวจสอบว่าแรงดันไฟเพียงพอหรือไม่
  • ที่ชาร์จแบบเสียบช่อง AC/DC – สำหรับรถบางรุ่นที่มีช่องเสียบปลั๊กไฟในตัว สามารถใช้ที่ชาร์จประเภทนี้ได้ ซึ่งเหมาะกับการชาร์จแล็ปท็อปหรืออุปกรณ์ที่ใช้ไฟสูง

หากรถของคุณมีช่องจุดบุหรี่ ควรเลือกที่ชาร์จแบบ Car Charger เพราะใช้งานง่ายและรองรับการชาร์จอุปกรณ์ได้หลากหลาย

2. ตรวจสอบกำลังไฟ (Watt) และความเร็วในการชาร์จ

กำลังไฟเป็นสิ่งสำคัญที่มีผลต่อความเร็วในการชาร์จ โดยทั่วไปที่ชาร์จในรถจะมีค่าอยู่ที่ 10W – 100W ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ คือ

2.1 ค่ากำลังไฟที่พอร์ต USB

  • 5W – 10W : ความเร็วชาร์จมาตรฐาน เหมาะกับอุปกรณ์ที่ไม่ต้องการกำลังไฟสูง เช่น สมาร์ทวอทช์ หูฟังบลูทูธ
  • 18W – 30W : รองรับ Fast Charge เช่น Quick Charge 3.0 หรือ USB-PD (Power Delivery) เหมาะกับสมาร์ทโฟนทั่วไป
  • 45W – 100W : รองรับการชาร์จอุปกรณ์ที่ต้องการพลังงานสูง เช่น iPad, MacBook, โน้ตบุ๊กบางรุ่น

2.2 รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วหรือไม่

หากคุณต้องการชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มไว ควรเลือกที่ชาร์จที่รองรับเทคโนโลยี Fast Charge เช่น

  • Qualcomm Quick Charge (QC 3.0, QC 4.0) – ชาร์จเร็วสำหรับสมาร์ทโฟน Android หลายรุ่น
  • USB Power Delivery (PD) – ใช้กับ iPhone, iPad และ MacBook บางรุ่น
  • SuperVOOC, Warp Charge, Dash Charge – เป็นเทคโนโลยีเฉพาะของแบรนด์ OPPO, OnePlus และ Realme

หากต้องการชาร์จ iPhone ให้เร็วขึ้น ควรเลือกที่ชาร์จที่รองรับ USB-PD 20W ขึ้นไป ส่วน Android ควรมี QC 3.0 หรือสูงกว่า

3. จำนวนพอร์ต USB และประเภทของพอร์ตที่รองรับ

ที่ชาร์จในรถมีให้เลือกตั้งแต่ 1 พอร์ต ไปจนถึง 4 พอร์ตขึ้นไป ควรเลือกตามการใช้งาน เช่น

  • 1-2 พอร์ต – เหมาะกับคนที่ใช้ชาร์จมือถือหรืออุปกรณ์ส่วนตัว
  • 3-4 พอร์ตขึ้นไป – เหมาะกับการเดินทางเป็นกลุ่ม หรือมีอุปกรณ์หลายอย่าง เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต กล้องติดรถยนต์

นอกจากนี้ ควรเช็กประเภทพอร์ต เช่น

  • USB-A – ใช้ได้กับอุปกรณ์ทั่วไป แต่รองรับ Fast Charge ได้จำกัด
  • USB-C – รองรับ PD ชาร์จเร็ว และใช้กับอุปกรณ์รุ่นใหม่มากขึ้น

หากคุณต้องการความยืดหยุ่นสูง ควรเลือกที่ชาร์จที่มีทั้ง USB-A และ USB-C ในตัว

4. วัสดุและระบบป้องกันความปลอดภัย

ที่ชาร์จในรถคุณภาพดีควรมีวัสดุที่แข็งแรง และระบบป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร เช่น

  • วัสดุที่ทนความร้อน – เช่น อะลูมิเนียมหรือพลาสติก ABS ทนทานและช่วยระบายความร้อน
  • ระบบป้องกันไฟเกิน (Overcurrent Protection) – ป้องกันไฟฟ้าไหลเกินขนาด
  • ระบบป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร (Short Circuit Protection) – ลดความเสี่ยงการเกิดไฟไหม้
  • ระบบตัดไฟอัตโนมัติ (Overheat Protection) – ป้องกันอุปกรณ์ร้อนเกินไปขณะชาร์จ

หากเลือกซื้อแบรนด์ที่มีมาตรฐาน เช่น Anker, Baseus, UGREEN, Aukey จะช่วยให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น

5. เลือกจากฟังก์ชันพิเศษเพิ่มเติม

ที่ชาร์จในรถบางรุ่นมาพร้อมฟังก์ชันที่ช่วยให้ใช้งานสะดวกขึ้น เช่น

  • หน้าจอแสดงแรงดันไฟฟ้า – บอกระดับแบตเตอรี่ของรถยนต์ได้
  • ที่ชาร์จในตัวพร้อมสายชาร์จ – บางรุ่นมีสายชาร์จติดมาให้เลย เช่น Lightning, USB-C หรือ Micro-USB
  • รองรับการชาร์จไร้สาย (Wireless Charging) – สำหรับรถที่มีแท่นชาร์จไร้สายในตัว

หากคุณต้องการความสะดวก ควรพิจารณาฟังก์ชันพิเศษเหล่านี้เพิ่มเติม

สรุปแล้วควรเลือกแบบไหนดี?

การเลือกซื้อที่ชาร์จในรถไม่ใช่แค่ดูว่าชาร์จได้หรือไม่ แต่ต้องพิจารณาจาก ประเภทพอร์ตของรถ กำลังไฟ ความเร็วในการชาร์จ จำนวนพอร์ต ความปลอดภัย และฟังก์ชันพิเศษ เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานมากที่สุด

  • หากคุณต้องการ ชาร์จเร็ว ควรเลือกที่ชาร์จที่รองรับ Quick Charge หรือ PD 20W ขึ้นไป
  • หากต้องการ ชาร์จหลายอุปกรณ์ ควรเลือกที่มี 2-4 พอร์ต และรองรับทั้ง USB-A และ USB-C
  • หากต้องการ ใช้งานระยะยาว ควรเลือกแบรนด์ที่มีมาตรฐาน ปลอดภัย และทนทาน

เมื่อลองเลือกตามปัจจัยเหล่านี้ คุณจะได้ที่ชาร์จในรถที่ตอบโจทย์ ทั้งความเร็ว ปลอดภัย และคุ้มค่า สำหรับการใช้งานในทุกการเดินทาง! 🚗🔌

10 อันดับ ที่ชาร์จในรถ ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 ดีไซน์ทันสมัย ชาร์จเร็ว สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย

สำหรับที่ชาร์จในรถทั้ง 10 รุ่น ที่เรานำมาฝากในวันนี้ เป็นรุ่นที่มพร้อมกับคุณภาพที่ดี ชาร์จไฟได้รวดเร็ว เป็นรุ่นที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้เลย โดยคุณสามารถดูรีวิวจากด้านล่างได้เลยครับ

1. UGREEN 130W Car Charger

UGREEN 130W Car Charger

ราคา 649 บาท

ที่ชาร์จรถยนต์พลังแรง ชาร์จไว ปลอดภัยทุกการเดินทาง

UGREEN 130W Car Charger คือที่ชาร์จในรถที่ตอบโจทย์ทั้งความเร็วและความปลอดภัย ออกแบบมาให้รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว PD 3.0 สูงสุด 100W, QC 3.0 30W และ SCP 22.5W พร้อมพอร์ต USB-C 2 ช่อง และ USB-A 1 ช่อง ทำให้สามารถชาร์จอุปกรณ์ได้พร้อมกันถึง 3 เครื่อง ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือแม้แต่ MacBook ก็ตาม

นอกจากประสิทธิภาพการชาร์จที่รวดเร็วแล้ว ยังมาพร้อมระบบระบายความร้อนที่ดีเยี่ยม ลดความร้อนสะสมขณะใช้งาน ตัวเครื่องแข็งแรงทนทาน พร้อมไฟ LED ช่วยให้มองเห็นได้ง่ายในที่มืด อีกทั้งยังมีชิปอัจฉริยะช่วยป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร การจ่ายไฟเกิน และควบคุมอุณหภูมิ เพื่อให้คุณมั่นใจในความปลอดภัยทุกครั้งที่ใช้งาน ไม่ว่าขับทางใกล้หรือไกล ที่ชาร์จตัวนี้ก็ตอบโจทย์ได้ครบ!

2. ที่ชาร์จในรถ Aukey รุ่น CC-Y16

ที่ชาร์จในรถ Aukey รุ่น CC-Y16

ราคา 650 บาท

ที่ชาร์จในรถปลอดภัย ชาร์จไว ตอบโจทย์ทุกอุปกรณ์

Aukey CC-Y16 เป็นที่ชาร์จในรถที่ออกแบบมาเพื่อความเร็วและความปลอดภัย รองรับเทคโนโลยี Quick Charge 3.0 และ Power Delivery 3.0 จ่ายไฟสูงสุด 36W ช่วยให้ชาร์จอุปกรณ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ มาพร้อมพอร์ตชาร์จ 3 ช่อง ได้แก่ USB-A 2 ช่อง และ USB-C 1 ช่อง รองรับการใช้งานพร้อมกันหลายอุปกรณ์ ทั้งสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และอุปกรณ์อื่น ๆ

ตัวเครื่องผลิตจากวัสดุที่ได้มาตรฐาน CE และ RoHS แข็งแรง ทนทาน พร้อมระบบป้องกันไฟช็อต ไฟรั่ว และการควบคุมอุณหภูมิ ป้องกันความร้อนสะสมขณะใช้งาน ทำให้มั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัยทุกครั้งที่ชาร์จ ไม่ว่าคุณจะเดินทางใกล้หรือไกล Aukey CC-Y16 ก็เป็นตัวช่วยที่ไว้วางใจได้ในการเติมพลังให้ทุกอุปกรณ์ของคุณ

3. COMMY ที่ชาร์จไฟในรถยนต์ แบบ USB Micro

COMMY ที่ชาร์จไฟในรถยนต์ แบบ USB Micro

ราคา 399 บาท

ขนาดเล็กน้ำหนักเบา พร้อม 3 ช่องเชื่อมต่อ ชาร์จได้รวดเร็วและปลอดภัย

COMMY ที่ชาร์จไฟในรถยนต์ แบบ USB Micro ราคา 399 บาท เป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาอย่างสมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการชาร์จอุปกรณ์ระหว่างเดินทาง ด้วย Adaptor 5.1A ที่รองรับการชาร์จอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ทำให้พกพาได้ง่าย

จุดเด่นที่น่าสนใจคือ COMMY มีถึง 3 ช่องเชื่อมต่อ ซึ่งไม่เพียงแต่รองรับการชาร์จอุปกรณ์ทั่วไป แต่ยังมี port สำหรับเชื่อมต่อกล้องหน้ารถได้อีกด้วย ทำให้คุณสามารถชาร์จอุปกรณ์ได้หลายชิ้นในเวลาเดียวกัน โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะมาพร้อมระบบป้องกันไฟกระชากและความร้อนเกิน COMMY จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและน่าเชื่อถือสำหรับทุกการเดินทาง!

4. Baseus 36W Fast Charging Quick Charge 4.0

Baseus 36W Fast Charging Quick Charge 4.0

ราคา 640 บาท

ที่ชาร์จในรถอัจฉริยะ ชาร์จเร็ว 36W ฟังเพลงได้ รองรับบลูทูธ

Baseus 36W Fast Charging เป็นมากกว่าที่ชาร์จในรถ เพราะนอกจาก รองรับ Quick Charge 4.0, PD และ PPS ชาร์จเร็วได้สูงสุด 36W ผ่านพอร์ต USB-A 2 ช่อง และ Type-C 1 ช่อง แล้ว ยังสามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องเล่นเพลงและบลูทูธแฮนด์ฟรีได้ในตัว รองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth 5.0 ทำให้สามารถเชื่อมกับสมาร์ทโฟนเพื่อเล่นเพลงหรือรับสายได้สะดวกขณะขับขี่

จุดเด่นเพิ่มเติมคือ รองรับการเล่นไฟล์เสียงจาก TF Card และ Flash Disk สามารถเล่นเพลงในฟอร์แมต MP3, WMA, APE, FLAC และ WAV ได้อย่างลื่นไหล พร้อม หน้าจอ LED แสดงสถานะการทำงาน และปุ่มควบคุมเพลงและรับสายโทรเข้า ทำให้เป็นอุปกรณ์เสริมในรถที่ครบครันทั้งชาร์จเร็วและความบันเทิง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกและความบันเทิงระหว่างเดินทาง

5. Essager 125W เครื่องชาร์จในรถยนต์

Essager 125W เครื่องชาร์จในรถยนต์

ราคา 504 บาท

ชาร์จแรงสูงสุด 125W พร้อมดีไซน์โปร่งใสสุดล้ำ รองรับการชาร์จอุปกรณ์หลายชนิด

Essager 125W เป็นที่ชาร์จในรถที่โดดเด่นด้วย พลังชาร์จสูงสุด 125W รองรับการชาร์จอุปกรณ์หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น โน้ตบุ๊ก, สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ต ผ่าน 3 พอร์ตชาร์จ ได้แก่ Type-C และ USB-A คู่ โดยพอร์ต Type-C รองรับ PD 65W ชาร์จเร็วสำหรับอุปกรณ์หลากหลาย ส่วน USB-A รองรับ QC ให้การชาร์จรวดเร็วโดยไม่ต้องรอต่อคิว

จุดเด่นที่ไม่เหมือนใครคือ ดีไซน์โปร่งใส ที่เผยให้เห็น แผงวงจรและ IC ภายใน ให้ความรู้สึกไฮเทคสุดล้ำ พร้อม จอแสดงผลดิจิตอล แสดงสถานะการชาร์จแบบเรียลไทม์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการที่ชาร์จแรง ดีไซน์พรีเมียม และฟังก์ชันล้ำยุค ตอบโจทย์การใช้งานในรถยนต์ยุคใหม่

6. AUKEY ที่ชาร์จในรถ รุ่น CC-A3

AUKEY ที่ชาร์จในรถ รุ่น CC-A3

ราคา 699 บาท

ชาร์จเร็วแบบ PD 30W และ QC3.0 18W พร้อมระบบป้องกันหลายชั้น

AUKEY ที่ชาร์จในรถ รุ่น CC-A3 ราคา 699 บาท เป็นอุปกรณ์ชาร์จที่ตอบโจทย์ทั้งความเร็วและความปลอดภัย ด้วยช่อง USB-C ที่รองรับชาร์จเร็วแบบ PD สูงสุด 30W สำหรับ iPhone, Samsung และ iPad ส่วนช่อง USB-A รองรับชาร์จเร็วแบบ QC3.0 สูงสุด 18W สำหรับอุปกรณ์ Android ชาร์จจากแบต 0-50% ได้ภายใน 30 นาที (ขึ้นอยู่กับรุ่นอุปกรณ์) เมื่อชาร์จพร้อมกัน 2 เครื่อง จะจ่ายไฟรวมกันไม่เกิน 24W

ดีไซน์ของ AUKEY CC-A3 ถูกออกแบบมาให้พอดีกับช่องจุดบุหรี่ หัวชาร์จไม่เลยช่องขึ้นมา ทำให้ไม่เกะกะเวลาขับรถ และเพิ่มความปลอดภัยด้วยระบบป้องกันหลายชั้น เช่น ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร, ระบบตัดการทำงานเมื่อความร้อนสูงเกินกำหนด, และป้องกันการจ่ายกระแสไฟเกิน AUKEY CC-A3 จึงเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและน่าเชื่อถือสำหรับทุกการเดินทาง

7. Orsen by Eloop C8 Mini Car Charger

Orsen by Eloop C8 Mini Car Charger

ราคา 299 บาท

ขนาดเล็กแต่ทรงพลัง ดีไซน์มินิ ประหยัดพื้นที่ ชาร์จไวสูงสุด 45W

Orsen by Eloop C8 Mini เป็นที่ชาร์จในรถที่ออกแบบมาให้เล็กกะทัดรัดกว่ารุ่นทั่วไป ไม่เกะกะบริเวณช่องเสียบ แต่ยังคงประสิทธิภาพสูงสุดในการชาร์จ รองรับกำลังไฟ สูงสุด 45W ผ่านพอร์ต USB-A และ Type-C รองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็ว PD 3.0, QC 4.0, SCP, FCP, AFC และ PE สามารถชาร์จอุปกรณ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

ตัวเครื่องผลิตจาก อลูมิเนียมอัลลอย ช่วยให้ทนทานและระบายความร้อนได้ดี พร้อมไฟ LED แสดงสถานะการชาร์จ นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบตัดไฟอัตโนมัติ ป้องกัน ไฟกระชาก ไฟเกิน และควบคุมอุณหภูมิ รองรับแรงดันไฟ 12-24V ใช้งานได้ทั้งในรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่า สำหรับผู้ที่ต้องการที่ชาร์จขนาดเล็กแต่ทรงพลัง

8. HOCO Z29 Plus หัวชาร์จในรถยนต์

HOCO Z29 Plus หัวชาร์จในรถยนต์

ราคา 165 บาท

ที่ชาร์จในรถราคาประหยัด ใช้งานง่าย พร้อมช่องจุดบุหรี่ในตัว

HOCO Z29 Plus เป็นที่ชาร์จในรถที่คุ้มค่าในราคาสบายกระเป๋า ออกแบบมาให้ใช้งานได้หลากหลายด้วย พอร์ตชาร์จ 2 ช่อง รองรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตทุกรุ่น พร้อม ช่องจุดบุหรี่ เพิ่มความสะดวกในการใช้งานอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ เช่น เครื่องฟอกอากาศหรือที่ชาร์จเพิ่มเติม อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความเร็วในการชาร์จขึ้น 30% ทำให้ไม่ต้องรอนาน

นอกจากความเร็วและความสะดวกแล้ว HOCO Z29 Plus ยังมาพร้อม ระบบ IC อัจฉริยะ ช่วยควบคุมการจ่ายกระแสไฟให้เหมาะสม ป้องกันไฟกระชากและไฟเกิน มั่นใจในความปลอดภัยเพราะผ่านมาตรฐาน CE, ROHS และ FC Certificates ใช้งานได้อย่างมั่นใจ พร้อมไฟแสดงสถานะการทำงาน และรับประกันนาน 6 เดือน ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าทั้งคุณภาพและราคา

9. OWIRE ที่ชาร์จในรถ PD30W+QC22.5W

OWIRE ที่ชาร์จในรถ PD30W+QC22.5W

ราคา 175 บาท

ชาร์จไว ปลอดภัย ใช้งานได้ยาวนาน พร้อมระบบควบคุมไฟอัจฉริยะ

OWIRE PD30W+QC22.5W เป็นที่ชาร์จในรถที่ให้พลังงานเร็วและเสถียร รองรับ Power Delivery 30W และ Quick Charge 22.5W ทำให้สามารถชาร์จสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ได้ถึง 50% ภายใน 30 นาที ช่วยประหยัดเวลาได้อย่างมาก รองรับทั้ง USB-A และ USB-C ทำให้ใช้งานได้กับอุปกรณ์หลากหลาย

จุดเด่นอีกอย่างคือ ชิปอัจฉริยะ ที่ช่วยควบคุมการจ่ายไฟให้เหมาะสม ป้องกันกระแสไฟเกิน ไฟช็อต และความร้อนสูง พร้อม ไฟแสดงสถานะและกระแสไฟระบุ ช่วยให้มองเห็นสถานะการชาร์จได้ชัดเจน อีกทั้งยังมาพร้อมการรับประกันยาวนานถึง 2 ปี เพิ่มความมั่นใจในคุณภาพและการใช้งานระยะยาว ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าในราคาสบายกระเป๋า

10. Basike 36W/45W ที่ชาจในรถยนต์

Basike 36W/45W ที่ชาจในรถยนต์

ราคา 96 บาท

ขนาดกะทัดรัด ชาร์จเร็วสูงสุด 45W พร้อมระบบป้องกันไฟกระชาก

Basike 36W/45W ที่ชาร์จในรถยนต์ ราคาเพียง 96 บาท เป็นอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ด้วยดีไซน์ขนาดเล็กกว่าที่ชาร์จทั่วไป ไม่เกะกะบริเวณช่องเสียบ และผลิตจากวัสดุอลูมิเนียมอัลลอยที่ทนความร้อนได้ดี พร้อมไฟ LED แสดงสถานะการชาร์จ ช่วยให้ใช้งานได้สะดวกยิ่งขึ้น

ที่น่าสนใจคือ Basike รองรับการชาร์จเร็วสูงสุด 45W ด้วยเทคโนโลยี PD 3.0, SCP, FCP, AFC, และ PE ทำให้ชาร์จได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต นอกจากนี้ยังมีระบบตัดไฟอัตโนมัติ ป้องกันไฟกระชาก และควบคุมอุณหภูมิได้อย่างปลอดภัย เหมาะกับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ทุกประเภท เรียกได้ว่าเป็นที่ชาร์จในรถที่คุ้มค่าและน่าเชื่อถือ!

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับที่ชาร์จในรถ

หากคุณกำลังมองหา ที่ชาร์จในรถ แต่ยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้งาน ความปลอดภัย และวิธีเลือกซื้อ นี่คือคำถามที่พบบ่อยพร้อมคำตอบที่ช่วยให้คุณเข้าใจมากขึ้น

1. ที่ชาร์จในรถใช้กับรถยนต์ทุกรุ่นได้หรือไม่?

โดยทั่วไป ที่ชาร์จในรถที่ใช้พอร์ต ช่องจุดบุหรี่ (Car Charger) สามารถใช้ได้กับรถยนต์ทุกรุ่นที่มีช่องเสียบนี้ ส่วนรถยนต์รุ่นใหม่บางคันอาจมี พอร์ต USB ในตัว ซึ่งสามารถใช้ชาร์จอุปกรณ์ได้โดยตรง แต่ต้องตรวจสอบว่าจ่ายไฟได้เพียงพอหรือไม่

2. ที่ชาร์จในรถทำให้แบตโทรศัพท์เสื่อมหรือไม่?

หากใช้ที่ชาร์จในรถที่มี มาตรฐาน และรองรับเทคโนโลยี Fast Charge อย่างถูกต้อง จะไม่ทำให้แบตเสื่อมเร็วกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม ที่ชาร์จราคาถูก ไม่มีระบบป้องกันไฟกระชาก อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้นหรืออุปกรณ์เสียหายได้

3. ที่ชาร์จในรถแบบไหนชาร์จเร็วที่สุด?

ที่ชาร์จในรถที่รองรับ Quick Charge (QC 3.0, QC 4.0) หรือ USB Power Delivery (PD 20W ขึ้นไป) จะช่วยให้ชาร์จอุปกรณ์ได้เร็วขึ้น ควรตรวจสอบว่าอุปกรณ์ของคุณรองรับเทคโนโลยีชาร์จเร็วแบบไหน เพื่อเลือกที่ชาร์จให้เหมาะสม

4. สามารถใช้ที่ชาร์จในรถชาร์จ MacBook หรือโน้ตบุ๊กได้หรือไม่?

ได้ แต่ต้องเลือกที่ชาร์จที่มีกำลังไฟสูง (45W – 100W) และรองรับ USB-C PD โดยเฉพาะ ถ้ากำลังไฟต่ำเกินไป อาจทำให้ชาร์จช้า หรือไม่สามารถชาร์จได้เลย

5. ที่ชาร์จในรถมีระบบป้องกันไฟเกินหรือไม่?

ที่ชาร์จในรถที่มีคุณภาพจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้ เช่น Anker, Baseus, UGREEN, Aukey มักมี ระบบป้องกันไฟเกิน (Overcurrent Protection), ป้องกันไฟกระชาก (Surge Protection) และป้องกันความร้อน (Overheat Protection) ทำให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัย

6. ทำไมบางครั้งที่ชาร์จในรถชาร์จไฟช้า?

อาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น

  • ที่ชาร์จมีกำลังไฟต่ำเกินไป ไม่รองรับ Fast Charge
  • ใช้สายชาร์จที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้จ่ายไฟได้ไม่เต็มที่
  • ช่องจ่ายไฟในรถจ่ายไฟได้ไม่เสถียร หรือมีอุปกรณ์อื่นใช้ไฟร่วมกัน
  • อุปกรณ์กำลังใช้งานหนัก เช่น เปิดแผนที่ GPS ทำให้ชาร์จได้ช้ากว่าปกติ

7. ควรใช้ที่ชาร์จในรถแบบกี่พอร์ตดี?

ขึ้นอยู่กับจำนวนอุปกรณ์ที่ต้องชาร์จ

  • 1-2 พอร์ต – เหมาะกับการใช้งานส่วนตัว
  • 3-4 พอร์ต – เหมาะกับครอบครัว หรือเดินทางเป็นกลุ่ม
  • USB-C PD + USB-A – แนะนำให้เลือกที่มีทั้ง 2 ประเภท เพื่อความยืดหยุ่นในการใช้งาน

8. ที่ชาร์จในรถราคาถูกใช้งานได้ดีหรือไม่?

บางรุ่นอาจใช้งานได้ แต่ มักไม่มีระบบป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร และอาจจ่ายไฟไม่เสถียร ซึ่งอาจทำให้เกิดความร้อนสูง หรือทำให้อุปกรณ์เสียเร็ว ควรเลือกแบรนด์ที่ได้มาตรฐาน แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่าเล็กน้อย แต่ปลอดภัยกว่าและใช้งานได้นานกว่า

9. ที่ชาร์จในรถแบบไร้สาย (Wireless Charging) ดีไหม?

ที่ชาร์จไร้สายในรถสะดวกเพราะไม่ต้องเสียบสาย แต่มีข้อเสียคือ ชาร์จได้ช้ากว่าแบบมีสาย และอาจได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนของรถ หากต้องการชาร์จเร็วและเสถียร แนะนำให้ใช้ที่ชาร์จแบบเสียบสายจะดีกว่า

10. ที่ชาร์จในรถทำให้แบตรถหมดเร็วขึ้นหรือไม่?

หากใช้งานตามปกติ ที่ชาร์จในรถจะใช้ไฟจากแบตรถเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถ้าเสียบอุปกรณ์ทิ้งไว้ขณะดับเครื่องยนต์ หรือใช้ที่ชาร์จที่มีกำลังไฟสูงมาก อาจทำให้แบตรถหมดได้เร็วขึ้น

💡 เคล็ดลับ:

  • ถอดที่ชาร์จออกจากช่องจุดบุหรี่เมื่อไม่ใช้งาน
  • ฃไม่ควรชาร์จอุปกรณ์ขณะดับเครื่องยนต์เป็นเวลานาน
  • หากแบตรถเก่า ควรเช็กสถานะแบตเป็นระยะ

บทส่งท้าย

ที่ชาร์จในรถเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้คุณชาร์จอุปกรณ์ได้สะดวกขณะเดินทาง แต่ควรเลือกซื้อให้เหมาะสมกับพอร์ตของรถ รองรับ Fast Charge มีระบบป้องกันไฟเกิน และเลือกแบรนด์ที่ได้มาตรฐาน เพื่อให้ใช้งานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด

About the Author: Tangthon

สวัสดีครับ ผมตังค์ทอน ผู้ที่มีความสนใจของใช้ต่าง ๆ ทั้งภายในบ้าน และนอกบ้าน เพราะเป็นของใช้ที่มีประโยชน์ ช่วยอำนวยความสะดวกได้ดี และใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ผมจึงอยากเขียนรีวิวแนะนำสินค้าต่าง ๆ รวมทั้งแนะนำวิธีการเลือกซื้อเพื่อให้ผู้ที่สนใจและกำลังมองหาสินค้านั้น ๆ ได้ทราบ เพื่อที่จะได้นำไปใช้ในการตัดสินใจ ให้สามารถเลือกได้ง่ายยิ่งขึ้น สิ่งไหนดี สิ่งไหนน่าใช้ ยี่ห้อไหนดี รุ่นไหนดีที่สุด สามารถหาคำตอบได้ จากในบทความเลยครับ

You might like