6 เคล็ดลับชงกาแฟให้หอมอร่อย กลมกล่อม น่าลิ้มลองเป็นที่สุด

เคล็ดลับชงกาแฟให้หอมอร่อย

ในการชงกาแฟนั้น ก็จะมีวิธีการต่าง ๆ มากมายครับ เพื่อให้ได้รสชาติกาแฟแก้วโปรดของคุณ มีความหอมละมุน กลมกล่อม และน่าลิ้มลอง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยในหลาย ๆ อย่างครับ รวมไปถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะนำมาใช้ในการชงกาแฟด้วย

โดยในวันนี้ครับ ผมจะพาทุก ๆ ท่านมาพบกับการชงกาแฟให้มีความหอมละมุน กลมกล่อม รสชาติดีกันครับ โดยเพื่อน ๆ สามารถนำเคล็ดลับในวันนี้ ไปใช้กับเครื่องชงกาแฟที่เพื่อน ๆ มีได้เลย แต่ถ้าใครยังไม่มีเครื่องชงกาแฟ เราก็มีบทความแนะนำ เครื่องชงกาแฟสด ยี่ห้อไหนดี ไว้ให้เป็นข้อมูลสำหรับเพื่อน ๆ ด้วยครับ

แนะนำให้อ่าน : เครื่องชงกาแฟสด ยี่ห้อไหนดี ใช้ในบ้านได้ ปี 2019

1.เลือกใช้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพเท่านั้น

เลือกใช้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ

อันดับแรกนะครับคือ เราควรหลีกเลี่ยงที่จะซื้อกาแฟตามห้าง หรือร้านขายของชำทั่ว ๆ ไป เพราะว่าเราไม่มีทางที่จะรู้ได้เลยครับ ว่าเมล็ดกาแฟเหล่านั้นมีความสดใหม่หรือไม่ บางทีอาจจะเป็นเมล็ดกาแฟที่นานมากแล้วก็ได้

สำหรับเมล็ดกาแฟทั่วไปนั้น จะมีอายุการเก็บรักษาอยู่ที่ประมาณ 21 วันนับจากวันที่ทำการคั่วแล้ว สำหรับเมล็ดกาแฟที่มีความสดใหม่นั้น เวลาเราชงจะมีรสชาติที่ดี และมีกลิ่นหอมมาก ๆ ทางที่ดีเราควรหาซื้อเมล็ดกาแฟจากร้านค๊อฟฟี่ช็อป หรือร้านที่เขาคั่วเมล็ดกาแฟเองดีกว่าครับ

เพราะว่าจะทำให้เราสามารถตรวจเช็คความสดใหม่ของเมล็ดกาแฟได้ และเราก็จได้เมล็ดกาแฟที่มั่นใจในรสชาติได้เลย

2. ควรเก็บรักษาเมล็ดกาแฟให้ถูกวิธี

ก็บรักษาเมล็ดกาแฟให้ถูกวิธี

การเก็บเมล็ดกาแฟอย่างถูกวิธี และเหมาะสม จะเป็นการช่วยให้เมล็ดกาแฟของเรานั้น มีความสดใหม่อยู่เสมอ วิธีการเก็บที่ถูกวิธีก็คือ การนำเมล็ดกาแฟที่เราซื้อมา ออกจากถุงบรรจุเดิม แล้วนำไปใส่ไว้ในภาชนะที่มีความทึบแสง และอากาศเข้าได้น้อย ๆ

ทำอย่างนี้จะช่วยให้คุณภาพของเมล็ดกาแฟของเราไม่สูญหายไปไหนครับ แต่ถ้าเราเก็บไว้ในขวดแก้วที่แสงสามารถส่องเข้าไปได้ อาจส่งผลให้เมล็ดกาแฟของเรา เวลาเราเอาไปชงดื่ม รสชาติอาจจะมีความผิดแผกแปลกไปครับ

อีกอย่างหนึ่งก็คือ ควรหลีกเลี่ยงการเก็บเมล็ดกาแฟไว้ในตู้เย็นหรือช่องแช่แข็งครับ ควรเก็บไว้ในอุณหภูมิปกติจะดีที่สุด เพราะการที่เราเอาเมล็ดกาแฟไปแช่เย็น จะส่งผลให้น้ำมันหอมระเหยในเมล็ดกาแฟหายไป

ทำให้มีผลต่อความเข้มข้นของกลิ่นกาแฟนั่นเอง นอกจากนี้ความชื้นในอากาศ ก็จะไปทำให้เมล็ดกาแฟของเราเก่าเร็วขึ้นอย่างมาก และอายุการเก็บรักษาก็จะสั้นลงไปอีกด้วยครับ

ซึ่งจะส่งผลต่อความเข้มข้นของกลิ่นกาแฟ นอกจากนี้ความชื้นในอากาศจะทำให้เมล็ดกาแฟเก่าได้เร็วขึ้นและมีอายุการเก็บรักษาน้อยลง

3. อย่าใช้ฟิลเตอร์ที่มีราคาถูก

อย่าใช้ฟิลเตอร์ที่มีราคาถูก

ฟิลเตอร์หรือแผ่นกระดาษกรองราคาถูก ๆ เวลาเรานำมาใช้ จะทำลายรสชาติและกลินของกาแฟค่อนข้างมากเลยครับ เราควรที่จะเลือกใช้ฟิลเตอร์ที่ระบุว่า oxygen bleached หรือ dioxin free เพื่อให้คงคุณภาพของกาแฟเอาไว้นั่นเอง

ต่อมาครับ ในส่วนของการใช้ฟิลเตอร์ที่ทำมาจากทองคำนั้น นอกจากจะช่วยให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นแล้ว ยังช่วยให้กาแฟที่เรานำมาชงดื่มมีรสชาติที่ดีขึ้น หอมมากขึ้น กว่าการใช้ฟิลเตอร์ทั่ว ๆ มากเลยครับ

แต่สำหรับการใช้ฟิลเตอร์ทองคำก็มีข้อที่ควรต้องระวังอยู่ด้วยนะครับ ถ้าคุณบดเมล็ดกาแฟที่ละเอียดมากเกินไป ก็อาจจะมีเศษเมล็ดกาแฟที่เกิดจากการบด หลุดลอดออกมาจากกรองได้นั่นเองครับ

4. ต้องใช้อุณหภูมิที่ถูกต้องและแม่นยำ

ใช้อุณหภูมิที่ถูกต้อง

สิ่งสำคัญมาก ๆ สำหรับการชงกาแฟอีกอย่างนะครับ คือน้ำบริสุทธิ์ครับ น้ำบริสุทธิ์ที่สะอาดเหมาะมาก ๆ กับการนำมาชงกาแฟอร่อย ๆ ความร้อนของน้ำนั้นจะอยู่ในช่วง 90.5 ถึง 96 องศาเซลเซียสครับ

ซึ่งความร้อนในระดับนี้ จะเหมาะที่สุดในการสกัดน้ำมันหอมระเหย และนำตาลคาราเมลจากเมล็ดกาแฟคุณภาพดีที่เราซื้อมา การที่จะควบคุมอุณหภูมิให้ถูกต้องแม่นยำนั่นค่อนข้างยาก เมื่อเราใช้เครื่องชงกาแฟคุณภาพต่ำมาทำการชงกาแฟดื่มครับ

ถึงแม้การซื้อเครื่องชงกาแฟคุณภาพสูง ๆ อาจจะต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อมา แต่สิ่งที่เราจะได้รับจากเครื่องชงกาแฟคุณภาพสูงนั้น คือรสชาติกาแฟที่ดีกว่า หอมกว่า อร่อยกลมกล่อมกว่า นับว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าน่าลองมากเลยครับ

5. บดเมล็ดกาแฟให้ดีให้เหมาะสม

บดเมล็ดกาแฟให้ดี

การที่เราจะบดเมล็ดกาแฟให้ดี และมีความเหมาะสม เราควรที่จะใช้ระดับความละเอียดในการบดเมล็ดกาแฟ ตามชนิดของกาแฟที่เราจะนำมาชงดื่มนะครับ โดยผงเมล็ดกาแฟที่มีความหยาบ จะเหมาะมาก ๆ กับการชงกาแฟแบบเฟรนช์เพรสครับ

แต่ถ้าเป็นเครื่องชงกาแฟแบบดริปแล้วนั้น เราอาจจะต้องบดเมล็ดกาแฟให้ละเอียดมากยิ่งขึ้นไปอีก ประมาณว่าถ้าเราลองเอานิ้วไปขยี้เมล็ดกาแฟที่บดเสร็จแล้ว จะให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังใช้มือบดขยี้ขนมปังกรอบเลยทีเดียว

แต่ถ้าหากเป็นกาแฟแบบเอสเปรซโซ่ ควรบดเมล็ดกาแฟให้มีความละเอียดประมาณ ระหว่างน้ำตาลทรายกับผงน้ำตาลไอซิ่งครับ นอกจากนี้ครับ เราควรที่จะเลือกเครื่องบดเมล็ดกาแฟแบบ burr grinder เพราะว่าจะเกิดแรงเสียดทานที่น้อยกว่าเครื่องบดเมล็ดกาแฟแบบทั่วไป ทำให้ลดปัญหากาแฟไหม้เกรียมที่เกิดจากการบดได้ครับ

6. หมั่นทำความสะอาดอุปกรณ์ให้สะอาดอยู่เสมอ

ทำความสะอาดอุปกรณ์ให้สะอาด

ภาชนะทุก ๆ ชิ้น และเครื่องบดเมล็ดกาแฟของเรา เราควรที่จะดูแลทำความสะอาดอยู่เสมอทุก ๆ 2 – 3 สัปดาห์นะครับ การทำความสะอาดจะช่วยในเรื่องของการกำจัดสิ่งสกปรกต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครับ คราบไขมันที่ติดอยู่นั่นเอง

แต่ถ้าเป็นเครื่องชงกาแฟ เราอาจจะทำความสะอาดประมาณเดือนละครั้งก็ได้ครับ โดยการใช้ส่วนผสมของน้ำส้มสายชูกับน้ำสะอาด หรือจะเป็นน้ำยาสำหรับทำความสะอาดก็ได้ครับ ทั้งนี้ก็เพื่อล้างคราบตะกรันของแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ตกค้างในเครื่อง ให้สะอาดหมดจดเหมือนใหม่นั่นเองครับ

สรุป

และนั่นก็เป็นคำแนะนำทั้งหมดที่ผมนำมาฝากเพื่อน ๆ กันในวันนี้ครับ ถ้าเพื่อน ๆ สามารถทำตามได้หมดทุกขั้นตอน ก็จะช่วยให้เพื่อน ๆ ได้ดื่มกาแฟที่หอม อร่อย กลมกล่อมมากกว่าเดิม และรสชาติของกาฟก็จะดีอีกด้วยนะครับ

รวมทั้งเมื่อเราได้ดื่มกาแฟที่ชื่นชอบ ก็จะช่วยให้เรามีความสดชื่น กระปรี้กระเปร่าตลอดทั้งวัน พร้อมที่จะเผชิญงานหนักได้อย่างอารมณ์ดีครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.coffeefavour.com

About the Author: Tangthon

สวัสดีครับ ผมตังค์ทอน ผู้ที่มีความสนใจของใช้ต่าง ๆ ทั้งภายในบ้าน และนอกบ้าน เพราะเป็นของใช้ที่มีประโยชน์ ช่วยอำนวยความสะดวกได้ดี และใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ผมจึงอยากเขียนรีวิวแนะนำสินค้าต่าง ๆ รวมทั้งแนะนำวิธีการเลือกซื้อเพื่อให้ผู้ที่สนใจและกำลังมองหาสินค้านั้น ๆ ได้ทราบ เพื่อที่จะได้นำไปใช้ในการตัดสินใจ ให้สามารถเลือกได้ง่ายยิ่งขึ้น สิ่งไหนดี สิ่งไหนน่าใช้ ยี่ห้อไหนดี รุ่นไหนดีที่สุด สามารถหาคำตอบได้ จากในบทความเลยครับ

You might like