10 ลู่วิ่งไฟฟ้า ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 กำลังแรงม้าสูง ทำงานเงียบ เคลื่อนย้ายได้สะดวก

ลู่วิ่งไฟฟ้า ยี่ห้อไหนดี

ในยุคที่การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ ลู่วิ่งไฟฟ้า กลายเป็นอุปกรณ์ยอดนิยมสำหรับคนรักการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่ต้องการเริ่มต้นฟิตหุ่น หรือสายสุขภาพที่อยากมีตัวช่วยฝึกซ้อมที่บ้านโดยไม่ต้องเสียเวลาไปฟิตเนส ลู่วิ่งไฟฟ้าตอบโจทย์ด้วยความสะดวก สามารถปรับความเร็ว ความชัน และฟังก์ชันต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับเป้าหมายของแต่ละคนได้อย่างง่ายดาย

บทความนี้ ตังค์ทอน จะมาแนะนำ 10 อันดับ ลู่วิ่งไฟฟ้า ยี่ห้อไหนดี เป็นรุ่นที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ รวมไปถึง เราก็จะช่วยแนะนำวิธีการเลือกซื้อลู่วิ่งไฟฟ้าให้เหมาะกับการใช้งาน พร้อมรีวิวตัวเลือกที่น่าสนใจ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น

วิธีการเลือกซื้อลู่วิ่งไฟฟ้าให้เหมาะกับการใช้งาน – คู่มือฉบับละเอียดสำหรับมือใหม่

ลู่วิ่งไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะช่วยให้คุณสามารถออกกำลังกายได้ทุกเวลาตามต้องการ โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปฟิตเนสหรือเผชิญกับสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย อย่างไรก็ตาม สำหรับมือใหม่ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับลู่วิ่งไฟฟ้า การเลือกซื้ออาจเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา เช่น กำลังมอเตอร์ ขนาดพื้นที่วิ่ง ระบบรองรับแรงกระแทก และฟังก์ชันเสริมต่าง ๆ

โดยเนื้อหานี้ จะช่วยคุณทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาในการเลือกซื้อลู่วิ่งไฟฟ้า เพื่อให้คุณสามารถเลือกซื้อได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการและงบประมาณของคุณ

1. ประเภทของลู่วิ่งไฟฟ้า – เลือกแบบไหนดี?

ก่อนที่จะเลือกซื้อลู่วิ่งไฟฟ้า ควรทำความเข้าใจก่อนว่ามีประเภทไหนบ้าง และแต่ละประเภทเหมาะกับใคร

1.1 ลู่วิ่งไฟฟ้าสำหรับใช้งานทั่วไป (Home Use)

ลู่วิ่งประเภทนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้งานภายในบ้านโดยเฉพาะ จุดเด่นคือ ขนาดกะทัดรัด พับเก็บได้ง่าย และราคาไม่สูงมาก เหมาะสำหรับคนที่ต้องการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ไม่ได้เน้นฝึกซ้อมหนัก ข้อควรพิจารณาคือ รุ่นเหล่านี้มักมีมอเตอร์ขนาดเล็กกว่ารุ่นสำหรับใช้งานหนัก ทำให้ไม่เหมาะกับการวิ่งต่อเนื่องเป็นเวลานาน

📌 เหมาะสำหรับ:

  • ✅ ผู้ที่ต้องการออกกำลังกายเบา ๆ หรือเดินเพื่อสุขภาพ
  • ✅ คนที่มีพื้นที่จำกัด เช่น คอนโด อพาร์ตเมนต์ หรือบ้านที่มีพื้นที่ไม่มาก
  • ✅ ผู้ที่ต้องการลู่วิ่งที่สามารถพับเก็บได้ง่าย

1.2 ลู่วิ่งไฟฟ้าสำหรับใช้งานหนัก (Commercial Use / Gym Use)

ลู่วิ่งประเภทนี้มักพบในฟิตเนสหรือยิมต่าง ๆ จุดเด่นคือ มอเตอร์ทรงพลัง รองรับน้ำหนักตัวมาก พื้นที่วิ่งกว้าง และมีระบบรองรับแรงกระแทกที่ดีกว่า เหมาะสำหรับคนที่ต้องการฝึกซ้อมจริงจัง เช่น นักวิ่งมืออาชีพ ข้อเสียคือลู่วิ่งประเภทนี้มีขนาดใหญ่ ราคาสูง และใช้พื้นที่มากกว่ารุ่นสำหรับใช้งานทั่วไป

📌 เหมาะสำหรับ:

  • ✅ ผู้ที่ต้องการฝึกซ้อมการวิ่งระยะไกลหรือใช้ในการเตรียมตัวสำหรับมาราธอน
  • ✅ คนที่ต้องการใช้งานต่อเนื่องระยะยาวโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความทนทาน
  • ✅ ผู้ที่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับตั้งลู่วิ่งขนาดใหญ่

1.3 ลู่วิ่งไฟฟ้าขนาดเล็ก (Walking Pad / Compact Treadmill)

ลู่วิ่งประเภทนี้ออกแบบมาให้ กะทัดรัด บาง และพับเก็บได้ง่ายที่สุด เหมาะสำหรับการเดินหรือวิ่งช้า ๆ ไม่ได้เน้นการออกกำลังกายหนัก จุดเด่นคือสามารถใช้งานใต้โต๊ะทำงานได้ หรือซ่อนไว้ใต้เตียงเมื่อไม่ใช้งาน ข้อเสียคือมีความเร็วสูงสุดต่ำกว่ารุ่นอื่น และไม่มีฟังก์ชันปรับความชัน

📌 เหมาะสำหรับ:

  • ✅ คนที่ต้องการเดินหรือวิ่งช้า ๆ ในบ้านหรือสำนักงาน
  • ✅ ผู้ที่มีพื้นที่จำกัด และต้องการอุปกรณ์ที่พับเก็บง่าย
  • ✅ ผู้สูงอายุที่ต้องการออกกำลังกายแบบไม่หนักมาก

2. กำลังมอเตอร์ (Motor Power) – ต้องเลือกกี่แรงม้า (HP)?

มอเตอร์ของลู่วิ่งไฟฟ้าเป็นหัวใจสำคัญของเครื่อง เพราะส่งผลโดยตรงต่อความลื่นไหลของการวิ่ง ความเร็วสูงสุด และอายุการใช้งานของอุปกรณ์ โดยทั่วไป มอเตอร์ของลู่วิ่งจะมีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ

  • DC Motor (Direct Current) – พบในลู่วิ่งสำหรับใช้งานที่บ้าน มีเสียงเงียบกว่า ประหยัดพลังงาน แต่ไม่เหมาะกับการใช้งานหนัก
  • AC Motor (Alternating Current) – พบในลู่วิ่งสำหรับฟิตเนสหรือยิม มีพลังมากกว่า ทนทานกว่า แต่เสียงดังกว่า

วิธีเลือกกำลังมอเตอร์ที่เหมาะสม:

  • 1.5 – 2.0 HP → เหมาะสำหรับการเดินหรือวิ่งเบา ๆ (ผู้เริ่มต้น / ใช้เพื่อสุขภาพ)
  • 2.0 – 3.0 HP → เหมาะสำหรับการวิ่งทั่วไป (ใช้งานปานกลางถึงหนัก)
  • 3.0 HP ขึ้นไป → เหมาะสำหรับการวิ่งหนักและต่อเนื่อง เช่น นักวิ่งที่ฝึกซ้อมจริงจัง

📌 ข้อแนะนำ : หากคุณมีน้ำหนักตัวมากกว่า 80 กก. ควรเลือกลู่วิ่งที่มีมอเตอร์ 2.5 HP ขึ้นไป เพื่อให้สามารถรองรับน้ำหนักและใช้งานได้นานขึ้น

3. ขนาดพื้นที่วิ่ง (Running Surface) – วิ่งสบาย ไม่อึดอัด

ขนาดของสายพานมีผลโดยตรงต่อความสบายในการวิ่ง หากสายพานแคบเกินไป อาจทำให้รู้สึกอึดอัดหรือเสี่ยงต่อการสะดุด

วิธีเลือกขนาดที่เหมาะสม:

  • กว้าง 40 – 45 ซม. → เหมาะสำหรับเดิน หรือวิ่งเบา ๆ
  • กว้าง 45 – 55 ซม. → เหมาะสำหรับการวิ่งปกติ
  • กว้าง 55 ซม. ขึ้นไป → เหมาะสำหรับนักวิ่งที่ต้องการพื้นที่ก้าวที่กว้างขึ้น
  • ยาว 120 – 130 ซม. → เหมาะสำหรับคนที่มีความสูงต่ำกว่า 170 ซม.
  • ยาว 130 – 150 ซม. → เหมาะสำหรับคนสูงกว่า 170 ซม. หรือมีช่วงก้าวยาว

📌 ข้อแนะนำ : ถ้าคุณสูงเกิน 175 ซม. หรือชอบวิ่งด้วยความเร็วสูง ควรเลือกพื้นที่วิ่งที่กว้างและยาวขึ้นเพื่อความสบาย

4. ความเร็วสูงสุดของลู่วิ่ง (Maximum Speed) – ต้องเลือกความเร็วเท่าไหร่?

ความเร็วสูงสุดของลู่วิ่งเป็นอีกปัจจัยที่ต้องพิจารณา เพราะส่งผลต่อรูปแบบการใช้งานของคุณ

วิธีเลือกความเร็วสูงสุดที่เหมาะสม

  • 1 – 6 กม./ชม. → เหมาะสำหรับการเดิน หรือเดินเร็ว
  • 7 – 10 กม./ชม. → เหมาะสำหรับการวิ่งเบา ๆ (จ๊อกกิ้ง)
  • 11 – 15 กม./ชม. → เหมาะสำหรับการวิ่งปกติ
  • 16 – 20 กม./ชม. ขึ้นไป → เหมาะสำหรับการฝึกซ้อมหนัก หรือวิ่งเร็วระดับนักกีฬา

📌 ข้อแนะนำ : 

  • หากคุณเป็นมือใหม่ และต้องการแค่เดินหรือวิ่งจ๊อกกิ้ง ลู่วิ่งที่มีความเร็วสูงสุด 10-12 กม./ชม. ก็เพียงพอ
  • หากคุณเป็นนักวิ่งจริงจัง หรือฝึกซ้อมมาราธอน ควรเลือกลู่วิ่งที่มีความเร็ว 16 กม./ชม. ขึ้นไป

5. ระบบรองรับแรงกระแทก (Shock Absorption System) – ลดแรงกระแทก ป้องกันอาการบาดเจ็บ

การวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้าควรให้ความรู้สึกสบาย ไม่ทำให้ข้อเข่าและข้อเท้าได้รับแรงกระแทกมากเกินไป ระบบรองรับแรงกระแทกช่วยลดแรงกระแทกจากการวิ่ง และช่วยป้องกันการบาดเจ็บ

ระบบรองรับแรงกระแทกที่พบในลู่วิ่งไฟฟ้า

  • Cushioning System – ระบบรองรับแรงกระแทกแบบยางพิเศษ ช่วยให้การวิ่งนุ่มนวลขึ้น
  • Spring Shock Absorption – ใช้สปริงในการดูดซับแรงกระแทก เหมาะสำหรับการวิ่งเร็ว
  • Air Cushion – เทคโนโลยีใหม่ที่ใช้แรงดันอากาศในการรองรับน้ำหนักตัว
  • Dual Shock System – มีการรองรับแรงกระแทก 2 ชั้น ลดแรงกระแทกได้ดีกว่า

📌 ข้อแนะนำ : หากคุณมีปัญหาข้อเข่า หรือใช้ลู่วิ่งเป็นประจำทุกวัน ควรเลือกลู่วิ่งที่มีระบบรองรับแรงกระแทกที่ดีเพื่อลดอาการบาดเจ็บ

6. ฟังก์ชันพิเศษ – เพิ่มประสบการณ์การวิ่งให้ดียิ่งขึ้น

ลู่วิ่งไฟฟ้าในปัจจุบันมีฟังก์ชันเสริมมากมายที่ช่วยให้การออกกำลังกายสนุกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ฟังก์ชันพิเศษที่ควรพิจารณา

  • ปรับความชันอัตโนมัติ (Incline Adjustment) – ช่วยเพิ่มความท้าทายให้การวิ่ง และเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น
  • หน้าจอแสดงผล (Display Screen) – แสดงข้อมูลระยะทาง ความเร็ว แคลอรีที่เผาผลาญ อัตราการเต้นของหัวใจ
  • โหมดฝึกซ้อม (Workout Programs) – โปรแกรมออกกำลังกายอัตโนมัติ ที่ช่วยให้คุณฝึกซ้อมได้หลากหลาย
  • เชื่อมต่อแอปพลิเคชัน (App Connectivity) – สามารถเชื่อมต่อกับมือถือเพื่อบันทึกข้อมูลการออกกำลังกาย
  • ลำโพงและช่องเสียบหูฟัง (Built-in Speaker & Audio Jack) – ฟังเพลงหรือพอดแคสต์ระหว่างวิ่ง

📌 ข้อแนะนำ:

  • หากคุณต้องการออกกำลังกายอย่างจริงจัง ฟังก์ชันปรับความชันและโปรแกรมฝึกซ้อมเป็นสิ่งที่ควรมี
  • หากคุณต้องการความบันเทิงระหว่างวิ่ง ฟังก์ชันลำโพงและการเชื่อมต่อแอปอาจช่วยเพิ่มความสนุก

7. การพับเก็บและเคลื่อนย้าย – เหมาะกับพื้นที่บ้านคุณหรือไม่?

หากคุณมีพื้นที่จำกัด ควรเลือกลู่วิ่งที่สามารถพับเก็บได้ง่ายและเคลื่อนย้ายสะดวก

ประเภทของลู่วิ่งที่พับเก็บได้

  • Manual Folding – ต้องใช้มือพับเอง ราคาถูก แต่บางรุ่นอาจพับได้ยาก
  • Hydraulic Folding – ใช้ระบบไฮดรอลิกช่วยพับ ทำให้พับง่ายและปลอดภัยกว่า
  • Compact Treadmill – ลู่วิ่งที่บางและพับได้เล็กมาก เหมาะสำหรับคอนโดหรือบ้านที่มีพื้นที่น้อย

📌 ข้อแนะนำ : หากคุณอาศัยอยู่ในคอนโด หรือมีพื้นที่จำกัด ควรเลือกลู่วิ่งที่พับได้ และมีล้อเลื่อนเพื่อความสะดวก

10 อันดับ ลู่วิ่งไฟฟ้า ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 คุณภาพยอดเยี่ยม ฟังก์ชั่นครบ พับได้ ประหยัดพื้นที่ใช้งาน

เมื่อทุกคนได้ทราบถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่ควรพิจารณาในการเลือกซื้อกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อไป ทุกคนก็จะได้พบกับ ลู่วิ่งไฟฟ้า ทั้ง 10 รุ่น ที่เราได้คัดสรรมาแล้วว่า เหมาะแก่การใช้งาน โดยคุณสามารถดูจากรีวิวด้านล่างได้เลย

1. FITEX ลู่วิ่งไฟฟ้า รุ่น R500

FITEX ลู่วิ่งไฟฟ้า รุ่น R500

ราคา 13,490 บาท

วิ่งนุ่ม ลดแรงกระแทก 70% ปกป้องข้อเข่า ด้วยเทคโนโลยีจาก USA

FITEX R500 เป็นลู่วิ่งไฟฟ้าระดับพรีเมียมที่ออกแบบมาเพื่อลดแรงกระแทกต่อข้อเข่าและข้อต่อ ด้วยระบบ ComfortTech 6-Point ลิขสิทธิ์จาก USA ซึ่งช่วยเปลี่ยนแรงกระแทกจากแนวตั้งให้เป็นแนวนอน ลดอาการบาดเจ็บขณะวิ่งได้ถึง 70% เสริมด้วย คัชชั่นยาง 8 จุด และ ฐานลู่วิ่ง 2 ชั้น เพื่อรองรับแรงกระแทกได้ดียิ่งขึ้น หน้าจอ LCD 5.5 นิ้ว แสดงข้อมูลครบถ้วนทั้งความเร็ว ระยะทาง เวลา แคลอรี่ และชีพจร อีกทั้งยังรองรับการเชื่อมต่อมือถือผ่านแอปเพื่อบันทึกข้อมูลและสั่งงานได้ทันที

รองรับน้ำหนักสูงสุด 140 กิโลกรัม พร้อม ระบบไฮดรอลิก HSS พับเก็บง่ายและปลอดภัย ไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่ นอกจากนี้ยังมาพร้อม ระบบเสียง Stereo ให้คุณฟังเพลงโปรดขณะออกกำลังกายได้ เพลิดเพลินกับ 15 โปรแกรมการออกกำลังกาย ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญ เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และสายฟิตเนสตัวจริง

2. CORE-FITNESS ลู่วิ่ง รุ่น FIT RUN

CORE-FITNESS ลู่วิ่ง รุ่น FIT RUN

ราคา 30,800 บาท

ลู่วิ่งระดับฟิตเนส วิ่งแข่งออนไลน์ได้ทั่วโลก สมจริงเหมือนออกวิ่งกลางแจ้ง

CORE-FITNESS FIT RUN เป็นลู่วิ่งไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ทั้งในบ้าน ฟิตเนส และโรงแรม ด้วย มอเตอร์ AC Commercial 5HP (Turbo) ที่ทนทานและเปิดใช้งานได้ต่อเนื่องถึง 72 ชั่วโมง โดยไม่สะดุด พร้อม ระบบ Low Noise ลดเสียงรบกวนขณะใช้งาน ให้คุณวิ่งได้เต็มที่โดยไม่รบกวนคนรอบข้าง

จุดเด่นของรุ่นนี้คือการรองรับ Zwift App ที่ให้คุณสามารถแข่งขันวิ่งออนไลน์กับนักวิ่งทั่วโลก และ Kinomap App ที่มาพร้อมวิดีโอสนามวิ่งและบรรยากาศจริง พร้อม ระบบปรับความชันอัตโนมัติ สร้างประสบการณ์วิ่งที่สมจริงเหมือนได้ออกไปวิ่งเทรล มั่นใจเรื่องความปลอดภัยด้วย ระบบโช้คอัพลดแรงกระแทก และพื้นวิ่งขนาดใหญ่ 520 มม. พร้อมที่พักเท้าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ

ปรับความเร็วได้สูงสุด 20 กม./ชม. และปรับความชันได้ถึง 18 ระดับ ช่วยเพิ่มความท้าทายให้กับการออกกำลังกาย อีกทั้งยังมี Auto Oil System ที่ช่วยเพิ่มความลื่นไหลของสายพานอัตโนมัติ และ Smart Hydraulic ช่วยให้พับเก็บง่ายโดยไม่ต้องออกแรงยก ครบทุกฟังก์ชัน สำหรับสายวิ่งที่ต้องการความสมจริงและความทนทานระดับมืออาชีพ!

3. MERRIRA ลู่วิ่งไฟฟ้า 5 แรงม้า รุ่น MX-1000

MERRIRA ลู่วิ่งไฟฟ้า 5 แรงม้า รุ่น MX-1000

ราคา 21,990 บาท

ลู่วิ่ง 5 แรงม้า เชื่อมต่อ Zwift วิ่งสมจริง ไม่จำเจ พร้อมระบบโช้คคู่ ลดแรงกระแทก 70%

MERRIRA MX-1000 ลู่วิ่งไฟฟ้าสเปกแรงที่ตอบโจทย์ทั้งมือใหม่และนักวิ่งจริงจัง ด้วย มอเตอร์ DC กำลังสูงสุด 5 แรงม้า ปรับความเร็วได้สูงสุด 22 กม./ชม. พร้อม Auto-Incline 20 ระดับ ที่ช่วยให้การวิ่งท้าทายยิ่งขึ้น รองรับน้ำหนักได้มากถึง 150 กิโลกรัม พร้อมพื้นที่วิ่งกว้าง 58 x 145 ซม. ให้คุณเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น

จุดเด่นของ MX-1000 คือการรองรับ Zwift App ที่ให้คุณสามารถวิ่งแข่งออนไลน์แบบเสมือนจริง ไม่ต้องวิ่งคนเดียวอีกต่อไป! เสริมด้วย Double Shock Absorption ระบบโช้คคู่ช่วยลดแรงกระแทกที่หัวเข่าและข้อเท้าได้ถึง 70% ป้องกันการบาดเจ็บขณะใช้งาน ระบบ Auto-Lubrication หยอดน้ำมันอัตโนมัติช่วยลดการดูแลรักษา และมี Smart Mobility 360 ล้อเลื่อนรอบทิศ เคลื่อนย้ายง่าย

หน้าจอ LED แสดงผลครบถ้วนทั้งความเร็ว ระยะทาง เวลา แคลอรี่ และชีพจร พร้อม 16 โปรแกรมออกกำลังกาย ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับทุกระดับความฟิต พับเก็บง่าย ด้วยระบบ Hydraulic Soft Drop ประหยัดพื้นที่จัดเก็บ นี่คือลู่วิ่งที่ครบเครื่องทั้งสมรรถนะและเทคโนโลยีเพื่อการออกกำลังกายที่สนุกและมีประสิทธิภาพ!

4. FITEX ลู่วิ่ง รุ่น R200

FITEX ลู่วิ่ง รุ่น R200

ราคา 10,490 บาท

ระบบโช้ค ComfortTech ลดแรงกระแทก 70% พร้อมหน้าจอ LCD 5.5 นิ้ว และฟังก์ชันเชื่อมต่อมือถือ

FITEX R200 เป็นลู่วิ่งที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ ด้วย ระบบโช้ค ComfortTech 6-Point Commercial Grade Damping System ที่ช่วยลดแรงกระแทกได้สูงสุดถึง 70% ถนอมข้อเข่าและข้อเท้า รองรับน้ำหนักได้ 120 กิโลกรัม ให้คุณวิ่งได้อย่างมั่นใจ ฐานลู่วิ่ง 2 ชั้น พร้อม คัชชั่นยาง 8 จุด ช่วยเพิ่มความนุ่มนวลในการใช้งาน

หน้าจอ LCD 5.5 นิ้ว แสดงข้อมูลสำคัญ เช่น ความเร็ว ระยะทาง เวลา แคลอรี่ และชีพจร รองรับการ เชื่อมต่อมือถือผ่านแอปเทรนเนอร์ส่วนตัว บันทึกข้อมูลการวิ่งและสามารถปรับความเร็วผ่านมือถือได้โดยตรง นอกจากนี้ ยังมี ระบบ Stereo ให้คุณเชื่อมต่อ MP3 หรือ USB ฟังเพลงขณะออกกำลังกาย เพลิดเพลินไปกับ 15 โปรแกรมออกกำลังกาย พร้อมระบบ หยอดน้ำมันอัตโนมัติ ดูแลรักษาง่าย

พับเก็บสะดวกด้วย Hydraulic Soft Drop System (HSS) ประหยัดพื้นที่จัดเก็บ และเคลื่อนย้ายง่ายด้วยล้อในตัว อีกทั้งยังมี Safety Key ป้องกันอันตรายขณะวิ่ง พร้อมที่วางมือถือ กระบอกน้ำ และแท็บเล็ต คุ้มค่าทั้งฟังก์ชันและราคา เหมาะสำหรับการใช้งานที่บ้าน!

5. MERRIRA ลู่วิ่งไฟฟ้า รุ่น MAGNIFIER MT-100

MERRIRA ลู่วิ่งไฟฟ้า รุ่น MAGNIFIER MT-100

ราคา 14,290 บาท

มอเตอร์ 4.2 แรงม้า ปรับชันอัตโนมัติ 15 ระดับ พับเก็บง่าย ประหยัดพื้นที่

MERRIRA MAGNIFIER MT-100 เป็นลู่วิ่งไฟฟ้าที่เหมาะกับการใช้งานในบ้าน ด้วย มอเตอร์ 4.2 แรงม้า ปรับความเร็วได้ 1-18 กม./ชม. และปรับความชันอัตโนมัติ 15 ระดับ เพิ่มความท้าทายให้การออกกำลังกาย รองรับน้ำหนักได้สูงสุด 130 กิโลกรัม (แนะนำผู้ใช้ไม่เกิน 80 กิโลกรัม เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด)

พื้นที่วิ่งขนาด 50 x 130 ซม. กว้างพอสำหรับการวิ่งสบายๆ พร้อม Safety Key เพื่อความปลอดภัย หน้าจอ LCD แสดงข้อมูลครบถ้วน ทั้งความเร็ว เวลา ระยะทาง แคลอรี และชีพจร (เป็นค่าประเมินเบื้องต้น) นอกจากนี้ยังมี Smart Holder สำหรับวางมือถือ แท็บเล็ต หรือไอแพดโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการหล่น

ลู่วิ่งรุ่นนี้ พับเก็บง่าย ด้วยระบบ Hydraulic Lifting หลังพับใช้พื้นที่เพียง 72 x 90 ซม. ประหยัดพื้นที่สุดๆ และยังรองรับการเชื่อมต่อ Bluetooth กับลำโพง ให้คุณฟังเพลงเพลินๆ ขณะออกกำลังกาย ครบจบทุกฟังก์ชันในราคาสุดคุ้ม

6. MERRIRA ลู่วิ่งไฟฟ้า 4.8 แรงม้า รุ่น MX-900

MERRIRA ลู่วิ่งไฟฟ้า 4.8 แรงม้า รุ่น MX-900

ราคา 15,990 บาท

ลู่วิ่งแรงม้าสูง ปรับชันอัตโนมัติ 20 ระดับ เชื่อมต่อ ZWIFT เพิ่มความสนุก

MERRIRA MX-900 เหมาะสำหรับคนที่มองหาลู่วิ่งกำลังสูงในราคาสมเหตุสมผล ด้วย มอเตอร์ 4.8 แรงม้า ปรับความเร็วได้ 1-20 กม./ชม. และปรับความชันอัตโนมัติ 20 ระดับ เพียงกดปุ่ม ให้คุณได้จำลองการวิ่งทั้งทางเรียบและทางชัน รองรับน้ำหนักสูงสุด 140 กิโลกรัม (แนะนำผู้ใช้ไม่เกิน 105 กิโลกรัม)

จุดเด่นของรุ่นนี้คือ รองรับการเชื่อมต่อ ZWIFT ผ่านบลูทูธ ให้คุณแข่งขันกับเพื่อนทั่วโลก ทำให้การวิ่งไม่น่าเบื่ออีกต่อไป พื้นที่วิ่งขนาด 48 x 135 ซม. และ ระบบสปริงรองรับแรงกระแทก 8 จุด (Patented by MERRIRA™) ช่วยลดแรงกระแทกที่เข่าและข้อเท้าได้ดีขึ้น

หน้าจอ LCD 7 นิ้ว แสดงข้อมูลครบถ้วน ทั้งความเร็ว เวลา ระยะทาง แคลอรี และชีพจร พร้อมโปรแกรมการออกกำลังกาย 16 โปรแกรม ช่วยให้คุณมีตัวเลือกการวิ่งที่หลากหลาย ใช้งานต่อเนื่องได้นานถึง 4 ชั่วโมง ถือเป็นลู่วิ่งที่ครบจบสำหรับคนที่ต้องการความแรงและฟังก์ชันที่ทันสมัย

7. FITEX ลู่วิ่งไฟฟ้า มอเตอร์ AC 5.0 แรงม้า รุ่น F1V

FITEX ลู่วิ่งไฟฟ้า มอเตอร์ AC 5.0 แรงม้า รุ่น F1V

ราคา 28,190 บาท

พลังแรง มั่นคง ตอบโจทย์การออกกำลังกายทุกรูปแบบ

FITEX F1V เป็นลู่วิ่งไฟฟ้าสำหรับคนที่ต้องการพลังมอเตอร์สูงและรองรับการใช้งานหนัก ด้วยมอเตอร์ AC 5.0 แรงม้า ให้การวิ่งลื่นไหลไม่มีสะดุด รองรับน้ำหนักได้สูงสุดถึง 170 กิโลกรัม โครงสร้างแข็งแรง พร้อม ฐานลู่วิ่ง 2 ชั้น และคัชชั่นยาง 8 จุด ช่วยลดแรงกระแทก เพิ่มความปลอดภัยให้ข้อเข่าและข้อเท้า

หน้าจอ LCD 7.5 นิ้ว แสดงค่าการวิ่งครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นความเร็ว ระยะทาง เวลา แคลอรี และอัตราการเต้นของหัวใจ มาพร้อม Safety Key กุญแจนิรภัยช่วยป้องกันอุบัติเหตุขณะใช้งาน เชื่อมต่อมือถือผ่าน แอปเทรนเนอร์ส่วนตัว ให้คุณบันทึกข้อมูลการวิ่ง และควบคุมความเร็วผ่านมือถือได้ง่ายๆ อีกทั้งยังสามารถฟังเพลง MP3 จากมือถือหรือ USB ผ่านระบบเสียง Stereo สร้างบรรยากาศการออกกำลังกายให้สนุกยิ่งขึ้น

FITEX F1V เหมาะสำหรับทั้งมือใหม่และสายออกกำลังกายจริงจัง ด้วยฟังก์ชันที่ครบครัน และระบบรองรับแรงกระแทกที่ช่วยให้การวิ่งสบายขึ้น ตอบโจทย์คนที่ต้องการลู่วิ่งที่แข็งแกร่งและใช้งานได้ยาวนาน

8. ลู่วิ่งไฟฟ้า JAPAN รุ่น K400 จาก AMURO

ลู่วิ่งไฟฟ้า JAPAN รุ่น K400 จาก AMURO

ราคา 7,590 บาท

ลู่วิ่งไฟฟ้าคุณภาพคุ้มค่า สำหรับผู้เริ่มต้น

AMURO K400 JAPAN เป็นลู่วิ่งไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่เริ่มต้นวิ่ง อัดแน่นด้วยฟังก์ชันที่ครบครัน พร้อมขนาดกะทัดรัดที่ช่วยประหยัดพื้นที่ใช้งาน ตัวเครื่องมีขนาดกว้าง 60 ซม. ยาว 140 ซม. และสูง 106 ซม. ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ขนาด 2.0 แรงม้า พร้อมพื้นที่วิ่งขนาด 40 x 110 ซม. ที่ให้ความรู้สึกสบายขณะใช้งาน ลู่วิ่งรุ่นนี้สามารถปรับความชันได้ 3 ระดับแบบแมนนวล เพื่อเพิ่มความท้าทายในการออกกำลังกาย รองรับความเร็วตั้งแต่ 1 – 12 กม./ชม.

อีกทั้งยังมาพร้อมหน้าจอขนาดใหญ่ คมชัด มองเห็นตัวเลขได้ง่าย และมีลำโพงในตัวสำหรับฟังเพลงขณะออกกำลังกาย เพิ่มความเพลิดเพลินให้กับการวิ่ง นอกจากนี้ ยังมีโปรแกรมอัตโนมัติให้เลือกถึง 12 โปรแกรม เพื่อความสะดวกในการออกกำลังกาย พับเก็บได้ง่าย ใช้พื้นที่น้อยเมื่อไม่ใช้งาน รองรับน้ำหนักผู้ใช้สูงสุด 90 กิโลกรัม เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลู่วิ่งไฟฟ้าคุณภาพดี คุ้มค่า และเหมาะกับการเริ่มต้นออกกำลังกาย

9. FITEX ลู่วิ่งไฟฟ้า รุ่น R100M

FITEX ลู่วิ่งไฟฟ้า รุ่น R100M

ราคา 9,490 บาท

ลู่วิ่งไฟฟ้าที่ครบครันทั้งฟังก์ชันการใช้งาน และความคุ้มค่า

FITEX R100M ออกแบบมาเพื่อการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพ ด้วยฐานลู่วิ่ง 2 ชั้นและคัชชั่นยาง 8 จุด ที่ช่วยรองรับแรงกระแทก ลดผลกระทบต่อข้อเข่าและข้อเท้าได้ดี หน้าจอ LCD ขนาด 5.5 นิ้ว แสดงข้อมูลที่สำคัญ เช่น ความเร็ว ระยะทาง เวลา แคลอรี่ และระดับชีพจร ทำให้สามารถติดตามผลการออกกำลังกายได้แบบเรียลไทม์

ลู่วิ่งรุ่นนี้สามารถปรับความชันได้ถึง 3 ระดับ (0, 3, 5 องศา) เพื่อเพิ่มความท้าทายให้กับการวิ่ง อีกทั้งยังมาพร้อมระบบหยอดน้ำมันหล่อลื่นอัตโนมัติที่ช่วยคำนวณและจ่ายน้ำมันให้เอง ทำให้การดูแลรักษาง่ายกว่ารุ่นเก่า รองรับน้ำหนักสูงสุด 110 กิโลกรัม และยังสามารถเชื่อมต่อกับแอปเทรนเนอร์ส่วนตัว เพื่อบันทึกข้อมูลการวิ่งและสั่งเพิ่ม-ลดความเร็วผ่านมือถือได้โดยตรง

นอกจากนี้ ยังมีระบบ Stereo ที่สามารถเชื่อมต่อ MP3 หรือ USB เพื่อฟังเพลงขณะออกกำลังกาย ช่วยให้การวิ่งสนุกและไม่น่าเบื่อ พร้อมด้วยระบบ Safety Key กุญแจนิรภัยที่ช่วยป้องกันอันตรายขณะใช้งาน FITEX R100M เป็นตัวเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลู่วิ่งไฟฟ้าฟังก์ชันครบ ใช้งานง่าย และตอบโจทย์ทั้งมือใหม่และผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำได้อย่างลงตัว

10. MERRIRA ลู่วิ่งไฟฟ้า 3 แรงม้า รุ่น MAYA MX-140

MERRIRA ลู่วิ่งไฟฟ้า 3 แรงม้า รุ่น MAYA MX-140

ราคา 7,650 บาท

ลู่วิ่งไฟฟ้ากะทัดรัด คุ้มค่า ในราคาสบายกระเป๋า รองรับการออกกำลังกายในทุกวัน

MERRIRA MAYA MX-140 เป็นลู่วิ่งไฟฟ้าที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพที่ต้องการเครื่องออกกำลังกายใช้งานง่ายและคุ้มค่า ด้วยมอเตอร์ 3 แรงม้า ปรับความเร็วได้ตั้งแต่ 1-16 กม./ชม. ช่วยให้ทั้งมือใหม่และผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำสามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสม แม้ตัวเครื่องจะมีขนาดกะทัดรัด แต่ยังรองรับน้ำหนักได้สูงสุด 120 กิโลกรัม (แนะนำผู้ใช้งานไม่เกิน 80 กก.)

และมาพร้อม ระบบ Rubber Shock Absorption ที่ช่วยลดแรงกระแทกบริเวณข้อเข่าและข้อเท้า เพิ่มความปลอดภัยและความสบายในการวิ่ง MERRIRA MAYA MX-140 เป็นลู่วิ่งที่เหมาะกับการใช้งานภายในบ้าน ไม่เปลืองพื้นที่ เคลื่อนย้ายสะดวก และมีฟังก์ชันครบครันในราคาที่จับต้องได้ เหมาะสำหรับใครที่ต้องการลู่วิ่งราคาประหยัด แต่ได้คุณสมบัติครบถ้วนสำหรับการออกกำลังกายประจำวัน!

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับลู่วิ่งไฟฟ้า

1. ลู่วิ่งไฟฟ้ากับลู่วิ่งแมนนวลต่างกันอย่างไร?

  • 🔹 ลู่วิ่งไฟฟ้า ใช้มอเตอร์ช่วยขับเคลื่อนสายพาน ผู้ใช้สามารถปรับความเร็วและความชันได้ เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความสะดวกสบายและปรับระดับความหนักเบาได้
  • 🔹 ลู่วิ่งแมนนวล ไม่มีมอเตอร์ ผู้ใช้ต้องออกแรงเองในการเคลื่อนสายพาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออกกำลังกายแบบเข้มข้นโดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้า

2. ควรเลือกขนาดมอเตอร์ของลู่วิ่งไฟฟ้าเท่าไหร่?

  • 🔹 เดินออกกำลังกาย → ใช้มอเตอร์ 1.5 – 2.0 HP
  • 🔹 วิ่งเบา ๆ (จ๊อกกิ้ง) → ใช้มอเตอร์ 2.0 – 2.5 HP
  • 🔹 วิ่งจริงจัง หรือฝึกซ้อมหนัก → ใช้มอเตอร์ 3.0 HP ขึ้นไป

📌 ข้อแนะนำ : หากต้องการใช้ลู่วิ่งระยะยาว ควรเลือกรุ่นที่มีกำลังมอเตอร์สูงขึ้น เพื่อรองรับการใช้งานที่หนักขึ้นในอนาคต

3. ลู่วิ่งไฟฟ้ารับน้ำหนักได้เท่าไหร่?

ขึ้นอยู่กับรุ่นของลู่วิ่ง โดยทั่วไปมีช่วงรับน้ำหนักดังนี้ :

  • 100 กก. หรือน้อยกว่า → เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป
  • 100 – 130 กก. → รองรับน้ำหนักได้มากขึ้น แข็งแรงกว่า
  • 130 กก. ขึ้นไป → เหมาะสำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก หรือใช้งานหนัก

📌 ข้อแนะนำ : ควรเลือกลู่วิ่งที่รองรับน้ำหนักได้มากกว่าน้ำหนักตัวของคุณอย่างน้อย 20 กก. เพื่อความปลอดภัยและยืดอายุการใช้งานของเครื่อง

4. ควรใช้ลู่วิ่งไฟฟ้ากี่นาทีต่อวัน?

ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของการออกกำลังกาย:

  • ต้องการสุขภาพดีทั่วไป → เดินหรือวิ่งเบา ๆ 20 – 30 นาที/วัน
  • ลดน้ำหนัก → วิ่งหรือเดินเร็ว 30 – 45 นาที/วัน
  • ฝึกซ้อมหรือเสริมความฟิต → วิ่งหนัก 45 – 60 นาที/วัน

📌 ข้อแนะนำ : ควรเริ่มจากระดับที่พอเหมาะ และเพิ่มระยะเวลาการออกกำลังกายอย่างค่อยเป็นค่อยไป

5. ลู่วิ่งไฟฟ้าใช้ไฟเยอะไหม? ค่าไฟเพิ่มขึ้นแค่ไหน?

การใช้ไฟของลู่วิ่งขึ้นอยู่กับขนาดมอเตอร์และระยะเวลาที่ใช้งาน เช่น:

  • ลู่วิ่งมอเตอร์ 2.0 HP ใช้ไฟประมาณ 1.5 – 2 หน่วยต่อชั่วโมง
  • ลู่วิ่งมอเตอร์ 3.0 HP ขึ้นไป ใช้ไฟประมาณ 2 – 3 หน่วยต่อชั่วโมง

📌 คำนวณค่าไฟคร่าว ๆ : หากค่าไฟหน่วยละ 5 บาท และคุณใช้ลู่วิ่ง วันละ 30 นาที

👉 ใช้ไฟ ประมาณ 1 หน่วย/วัน → ค่าไฟเพิ่มขึ้นเดือนละ 150 บาท (โดยประมาณ)

6. ควรวางลู่วิ่งไฟฟ้าที่ไหนในบ้าน?

ควรวางในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เช่น

  • ✅ ห้องออกกำลังกาย
  • ✅ ห้องนั่งเล่น หรือมุมใดมุมหนึ่งของบ้านที่มีพื้นที่เพียงพอ
  • ✅ บริเวณใกล้หน้าต่าง เพื่อรับอากาศบริสุทธิ์

📌 ข้อควรระวัง :

  • ❌ ห้ามวางใกล้ของแตกหักง่าย
  • ❌ ไม่ควรวางบนพรมหนา เพราะอาจทำให้มอเตอร์ร้อนง่ายขึ้น

7. ลู่วิ่งไฟฟ้าต้องดูแลรักษาอย่างไร?

  • หยอดน้ำมันสายพาน ทุก ๆ 2 – 3 เดือน เพื่อให้สายพานลื่น ไม่ฝืด
  • เช็ดทำความสะอาด ตัวเครื่องและหน้าจอหลังใช้งาน
  • ตรวจสอบสายพาน หากหลวม ให้ปรับระดับให้พอดี
  • เช็คมอเตอร์ ทุก 6 – 12 เดือน (โดยช่างผู้เชี่ยวชาญ)

📌 ข้อแนะนำ : ดูแลรักษาลู่วิ่งเป็นประจำ จะช่วยยืดอายุการใช้งานและลดความเสี่ยงจากอาการเสียหาย

8. ลู่วิ่งไฟฟ้าสามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม?

  • ✅ สามารถช่วยลดน้ำหนักได้ หากใช้งานอย่างเหมาะสม ร่วมกับการควบคุมอาหาร

การเผาผลาญแคลอรีโดยเฉลี่ย :

  • เดินเร็ว 30 นาที → เผาผลาญ 150 – 200 แคลอรี
  • วิ่ง 30 นาที → เผาผลาญ 250 – 400 แคลอรี
  • วิ่งเร็ว 30 นาที → เผาผลาญ 400 – 600 แคลอรี

📌 ข้อแนะนำ : การลดน้ำหนักที่ได้ผล ควรควบคุมอาหารร่วมกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอ

9. จำเป็นต้องเลือกลู่วิ่งที่มีฟังก์ชันปรับความชันหรือไม่?

  • 🔹 หากต้องการเพิ่มความท้าทาย → ควรเลือกลู่วิ่งที่สามารถปรับความชันได้
  • 🔹 การวิ่งบนความชัน 5 – 10% → ช่วยเผาผลาญแคลอรีได้มากขึ้น และช่วยกระชับกล้ามเนื้อขา

📌 ข้อแนะนำ : หากต้องการใช้ลู่วิ่งเพื่อฝึกซ้อม หรือเพิ่มแรงต้าน ควรเลือกรุ่นที่ปรับความชันได้

10. ลู่วิ่งไฟฟ้าสามารถใช้ได้ทุกคนหรือไม่?

✅ คนทั่วไปสามารถใช้ได้ แต่มีข้อควรระวังสำหรับบางกลุ่ม เช่น

  • ผู้ที่มีปัญหาข้อเข่า → ควรเลือกลู่วิ่งที่มีระบบรองรับแรงกระแทกที่ดี
  • ผู้สูงอายุ → ควรเริ่มจากการเดินก่อน และปรับความเร็วตามความเหมาะสม
  • ผู้ที่มีโรคหัวใจหรือโรคเรื้อรัง → ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้งาน

📌 ข้อแนะนำ : ควรเลือกลู่วิ่งที่มีฟังก์ชันวัดอัตราการเต้นของหัวใจ เพื่อความปลอดภัยในการออกกำลังกาย

บทส่งท้าย

ลู่วิ่งไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์ออกกำลังกายที่ช่วยให้คุณดูแลสุขภาพและควบคุมน้ำหนักได้ง่ายจากที่บ้าน อย่างไรก็ตาม ก่อนเลือกซื้อ ควรพิจารณา กำลังมอเตอร์ ขนาดสายพาน ฟังก์ชันเสริม และความเหมาะสมกับการใช้งานของคุณ เพื่อให้ได้ลู่วิ่งที่ตอบโจทย์และใช้งานได้นานที่สุด

About the Author: Tangthon

สวัสดีครับ ผมตังค์ทอน ผู้ที่มีความสนใจของใช้ต่าง ๆ ทั้งภายในบ้าน และนอกบ้าน เพราะเป็นของใช้ที่มีประโยชน์ ช่วยอำนวยความสะดวกได้ดี และใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ผมจึงอยากเขียนรีวิวแนะนำสินค้าต่าง ๆ รวมทั้งแนะนำวิธีการเลือกซื้อเพื่อให้ผู้ที่สนใจและกำลังมองหาสินค้านั้น ๆ ได้ทราบ เพื่อที่จะได้นำไปใช้ในการตัดสินใจ ให้สามารถเลือกได้ง่ายยิ่งขึ้น สิ่งไหนดี สิ่งไหนน่าใช้ ยี่ห้อไหนดี รุ่นไหนดีที่สุด สามารถหาคำตอบได้ จากในบทความเลยครับ

You might like