10 Baby Monitor ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 ใช้งานง่าย ภาพคมชัด ส่งสัญญาณไกล

Baby Monitor ยี่ห้อไหนดี

ในยุคที่ความปลอดภัยของลูกน้อยเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดสำหรับพ่อแม่ อุปกรณ์ Baby Monitor หรือกล้องดูเด็ก กลายเป็นไอเท็มที่ช่วยให้การเลี้ยงลูกเป็นเรื่องง่ายและสบายใจขึ้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ในห้องครัว กำลังทำงาน หรือแม้แต่พักผ่อน เบบี้มอนิเตอร์จะช่วยให้คุณสามารถเฝ้าดูและรับรู้ความเคลื่อนไหวของลูกได้ตลอดเวลา บางรุ่นยังมีฟังก์ชันพิเศษ เช่น ระบบเสียงสองทาง เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว หรือแม้แต่การวัดอุณหภูมิห้อง เพื่อให้คุณมั่นใจว่าลูกน้อยได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด

แต่ Baby Monitor มีหลายแบบและหลากหลายฟีเจอร์ แล้วควรเลือกแบบไหนให้เหมาะกับการใช้งานของคุณ? บทความนี้ ตังค์ทอน จะมาแนะนำ 10 อันดับ Baby Monitor ยี่ห้อไหนดี เป็นรุ่นที่น่าสนใจ และเราก็ยังมีวิธีการเลือกซื้อมาฝากอีกด้วย เพื่อให้คุณตัดสินใจเลือกซื้อได้อย่างมั่นใจ

วิธีเลือกซื้อเบบี้มอนิเตอร์ให้เหมาะกับการใช้งานของคุณ

สำหรับพ่อแม่ที่ต้องการดูแลลูกน้อยอย่างใกล้ชิดแม้ไม่ได้อยู่ในห้องเดียวกัน เบบี้มอนิเตอร์ ถือเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความอุ่นใจได้มากขึ้น เพราะช่วยให้คุณสามารถเฝ้าดูลูกได้แบบเรียลไทม์ รับรู้เสียงร้อง การเคลื่อนไหว และแม้แต่ตรวจวัดอุณหภูมิของห้องได้โดยไม่ต้องเข้าไปตรวจสอบบ่อย ๆ

แต่ด้วยตัวเลือกที่หลากหลาย ทั้งแบบกล้อง แบบเสียง เชื่อมต่อ Wi-Fi หรือไม่ใช้ Wi-Fi รวมถึงฟีเจอร์เสริมที่แตกต่างกัน อาจทำให้คุณสับสนว่าควรเลือกแบบไหนที่เหมาะกับบ้านของคุณที่สุด บทความนี้จะช่วยแนะนำ ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาก่อนเลือกซื้อ เบบี้มอนิเตอร์r เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และเลือกอุปกรณ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง

1. เลือกระหว่างเบบี้มอนิเตอร์แบบกล้อง (Video Monitor) หรือ แบบเสียง (Audio Monitor)

เบบี้มอนิเตอร์มีหลัก ๆ อยู่ 2 ประเภท ได้แก่

  • แบบเสียง (Audio Monitor) – เหมาะสำหรับพ่อแม่ที่ต้องการฟังเสียงลูกน้อยเมื่อร้องไห้หรือขยับตัว โดยไม่จำเป็นต้องเห็นภาพ เหมาะกับบ้านขนาดเล็กหรือพ่อแม่ที่ต้องการอุปกรณ์เรียบง่าย ราคาประหยัด
  • แบบกล้อง (Video Monitor) – ให้คุณเห็นภาพและฟังเสียงลูกได้แบบเรียลไทม์ผ่านหน้าจอแสดงผลหรือแอปพลิเคชันบนมือถือ รุ่นที่มีฟีเจอร์อินฟราเรดช่วยให้มองเห็นในที่มืด เหมาะสำหรับพ่อแม่ที่ต้องการเฝ้าดูพฤติกรรมลูกน้อยตลอดทั้งวัน

👉 คำแนะนำ : หากคุณต้องการเพียงฟังเสียงและต้องการความสะดวก Audio Monitor อาจเพียงพอ แต่ถ้าต้องการความมั่นใจสูงสุด ควรเลือก Video Monitor

2. ความละเอียดของกล้องและโหมดกลางคืน (Night Vision)

หากคุณเลือกเบบี้มอนิเตอร์แบบกล้อง ควรพิจารณาความละเอียดของภาพเพื่อให้สามารถมองเห็นลูกได้ชัดเจน

  • ความละเอียดระดับ HD (720p ขึ้นไป) – ช่วยให้มองเห็นรายละเอียดชัดเจน เช่น สีหน้าหรือการเคลื่อนไหวของลูก
  • โหมดอินฟราเรด (Night Vision) – สำคัญมากสำหรับการใช้งานเวลากลางคืน ควรเลือกรุ่นที่สามารถสลับเป็นโหมดกลางคืนอัตโนมัติ

👉 คำแนะนำ : หากต้องการดูภาพลูกน้อยได้ชัดในทุกสถานการณ์ ควรเลือกรุ่นที่รองรับ Night Vision และมีความละเอียดอย่างน้อย 1080p

3. การเชื่อมต่อและระยะสัญญาณ Wi-Fi หรือคลื่นวิทยุ

Baby Monitor มีระบบเชื่อมต่อหลัก ๆ อยู่ 2 แบบ

  • เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi – สามารถดูผ่านมือถือจากที่ไหนก็ได้ เหมาะสำหรับพ่อแม่ที่ต้องออกไปทำงานหรืออยู่ในห้องอื่น
  • เชื่อมต่อแบบคลื่นวิทยุ (Non-Wi-Fi) – ใช้ได้แม้ไม่มีอินเทอร์เน็ต ลดความเสี่ยงจากการถูกแฮกข้อมูล เหมาะสำหรับบ้านที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง

👉 คำแนะนำ : หากต้องการเฝ้าดูลูกจากระยะไกล (เช่น จากที่ทำงาน) ควรเลือกรุ่นที่เชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi แต่ถ้ากังวลเรื่องความปลอดภัย ให้เลือกแบบ Non-Wi-Fi

4. ฟีเจอร์เสียงสองทาง (Two-Way Audio) และตรวจจับการเคลื่อนไหว

  • Two-Way Audio – ให้คุณพูดคุยกับลูกผ่าน Baby Monitor ได้ เช่น พูดปลอบลูกตอนร้องไห้โดยไม่ต้องเข้าไปในห้อง
  • Motion Detection – ตรวจจับการเคลื่อนไหวของลูก และส่งแจ้งเตือนมายังมือถือ

👉 คำแนะนำ : หากต้องการฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณมีปฏิสัมพันธ์กับลูกแบบเรียลไทม์ ควรเลือกรุ่นที่รองรับ Two-Way Audio และ Motion Detection

5. แบตเตอรี่หรือการเสียบปลั๊ก

  • รุ่นที่ใช้แบตเตอรี่ – พกพาสะดวก แต่ต้องชาร์จอยู่เสมอ ควรเลือกรุ่นที่แบตเตอรี่อยู่ได้นาน 6-10 ชั่วโมง
  • รุ่นที่เสียบปลั๊ก – ใช้งานได้นานโดยไม่ต้องชาร์จ แต่เคลื่อนย้ายลำบากกว่า

👉 คำแนะนำ : หากต้องการใช้งานแบบเคลื่อนที่ ควรเลือกรุ่นที่มีแบตเตอรี่ความจุสูง หรือรุ่นที่รองรับทั้งแบตเตอรี่และเสียบปลั๊ก

6. ความปลอดภัยของข้อมูลและการป้องกันการแฮก

หากเลือก Baby Monitor แบบ Wi-Fi ควรตรวจสอบว่ารองรับการเข้ารหัสข้อมูลหรือไม่ เพื่อป้องกันการถูกแฮก

  • ควรเลือกรุ่นที่มี การเข้ารหัสสัญญาณ (Encryption) เช่น WPA2
  • เปลี่ยนรหัสผ่านเริ่มต้นของอุปกรณ์ทุกครั้งที่ติดตั้ง

👉 คำแนะนำ : หากต้องการความปลอดภัยสูง เลือกรุ่นที่มีการเข้ารหัสข้อมูลและตั้งรหัสผ่านที่แข็งแกร่ง

7. ฟีเจอร์พิเศษอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

  • ตรวจจับอุณหภูมิห้อง – แจ้งเตือนเมื่ออุณหภูมิร้อนหรือเย็นเกินไป
  • บันทึกวิดีโอ – บันทึกช่วงเวลาสำคัญไว้ดูย้อนหลัง
  • เสียงเพลงกล่อมเด็ก (Lullaby Mode) – เปิดเพลงช่วยให้ลูกหลับง่ายขึ้น

👉 คำแนะนำ : หากต้องการให้เบบี้มอนิเตอร์ทำหน้าที่มากกว่าการเฝ้าดู เลือกฟีเจอร์ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณ

สรุปการเลือกซื้อ

การเลือกซื้อเบบี้มอนิเตอร์ควรพิจารณาตามลักษณะการใช้งานของคุณ เช่น ต้องการดูผ่านมือถือหรือไม่, ต้องการฟีเจอร์ Night Vision หรือ Two-Way Audio หรือเปล่า รวมถึงความปลอดภัยของข้อมูล เพื่อให้คุณสามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างมั่นใจตลอด 24 ชั่วโมง

หากคุณกำลังมองหาเบบี้มอนิเตอร์ที่ตอบโจทย์ ลองเปรียบเทียบฟีเจอร์ของแต่ละรุ่นก่อนตัดสินใจ เพื่อให้ได้อุปกรณ์ที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวของคุณ

10 Baby Monitor ยี่ห้อไหนดี ปี 2025 คุณภาพเยี่ยม กล้องคมชัด ใช้งานได้สะดวกทุกที่

หลังจากที่ทุกคนได้ทราบถึงวิธีการเลือกซื้อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ต่อไปทุกคนจะได้พบกับ Baby Monitor ทั้ง 10 รุ่น ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ โดยคุณสามารถดูจากรีวิวด้านล่างได้เลย

1. Prince & Princess เบบี้มอนิเตอร์ รุ่น Safe & Sound 2K 5G

Prince & Princess เบบี้มอนิเตอร์ รุ่น Safe & Sound 2K 5G

ราคา 1,890 บาท

กล้องเบบี้มอนิเตอร์ระดับ 2K คุณภาพดี พร้อมฟีเจอร์ครบครัน

Prince & Princess Safe & Sound 2K 5G คือตัวช่วยที่พ่อแม่ยุคใหม่ไม่ควรพลาด ด้วยคุณภาพระดับ 2K Extra Wide ที่ให้ภาพคมชัดเหนือกว่า Full HD ทำให้เห็นทุกความเคลื่อนไหวของลูกน้อยได้อย่างชัดเจน มาพร้อมระบบตรวจจับเสียงที่แม่นยำและรวดเร็ว ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สบายใจได้ว่าจะไม่พลาดทุกความต้องการของลูก

ไม่เพียงเท่านั้น การหมุนกล้องได้ 355 องศาและปรับก้มเงยได้ 95 องศา ทำให้ครอบคลุมทุกมุมมองในห้องของลูกน้อย โดดเด่นด้วยฟีเจอร์สื่อสาร 2 ทิศทางที่ช่วยให้คุณพูดคุยกับลูกได้แม้อยู่คนละห้อง และด้วยโหมด Infrared อัจฉริยะ ที่ปรับเข้าสู่โหมดกลางคืนอัตโนมัติ มองเห็นได้ชัดแม้ในที่มืดไกลถึง 7 เมตร ทำให้มั่นใจได้ว่าจะดูแลลูกน้อยได้ตลอด 24 ชั่วโมง

2. iBaby – M2C FULL HD 1080p WIFI Baby Monitor

iBaby - M2C FULL HD 1080p WIFI Baby Monitor

ราคา 5,592 บาท

ความละเอียด Full HD พร้อมระบบบันทึกเหตุการณ์สำคัญ รองรับผู้ใช้หลายคน

iBaby M2C FULL HD นำเสนอประสบการณ์การดูแลลูกน้อยด้วยคุณภาพระดับ 1080p ที่สามารถซูมได้ถึง 2 เท่า ทำให้เห็นทุกรายละเอียดได้อย่างชัดเจน แม้ในยามค่ำคืนด้วยระบบ HD Infrared Night Vision ตัวกล้องผลิตจากซิลิโคนคุณภาพสูงที่มีความยืดหยุ่นและปลอดภัยสำหรับเด็กอ่อน พร้อมระบบแจ้งเตือนการเคลื่อนไหวและเสียงที่สามารถปรับแต่งได้ตามต้องการ

จุดเด่นที่น่าสนใจคือความสามารถในการรองรับผู้ใช้หลายคนพร้อมกัน ทำให้ทั้งพ่อ แม่ และผู้ดูแลสามารถเฝ้าดูลูกน้อยได้พร้อมกันผ่านหน้าจอแยก มาพร้อมลำโพงคุณภาพสูงที่ช่วยให้สื่อสารสองทิศทางได้อย่างชัดเจน และฟีเจอร์บันทึกวิดีโอที่ช่วยเก็บทุกช่วงเวลาสำคัญของลูกน้อยไว้ได้อย่างครบถ้วน แม้จะไม่สามารถปรับหมุนกล้องได้ แต่ด้วยคุณภาพของภาพที่คมชัดและฟังก์ชันที่ครบครัน ก็ทำให้คุ้มค่ากับการลงทุน

3. BEABA กล้องเบบี้มอนิเตอร์ Zen Premium Video Baby Monitor

BEABA กล้องเบบี้มอนิเตอร์ Zen Premium Video Baby Monitor

ราคา 11,990 บาท

กล้องหมุนอัตโนมัติ 360° และระบบติดตามการเคลื่อนไหว ส่งสัญญาณไกลถึง 300 เมตร

BEABA Zen Premium ยกระดับการดูแลลูกน้อยด้วยคุณภาพระดับ Full HD 3MP ที่ให้ภาพคมชัดทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยระบบ Night Vision อินฟาเรดที่ทำงานอัตโนมัติในสภาพแสงน้อย มาพร้อมหน้าจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ 4.8 นิ้วที่ให้ภาพคมชัดระดับ 720p HD และแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานถึง 8 ชั่วโมง

ความพิเศษอยู่ที่ระบบกล้องอัจฉริยะที่หมุนได้ 360 องศา ปรับก้มเงยได้ 90 องศา และซูมได้ถึง 4 เท่า พร้อมฟีเจอร์การติดตามการเคลื่อนไหวอัตโนมัติที่ช่วยให้ไม่พลาดทุกการเคลื่อนไหวของลูกน้อย ด้วยเทคโนโลยีไร้สายที่มีระยะส่งสัญญาณไกลถึง 300 เมตร ทำให้คุณพ่อคุณแม่สามารถทำกิจกรรมภายในบ้านได้อย่างอิสระ โดยยังคงดูแลลูกน้อยได้อย่างใกล้ชิด

4. BBluv – Cam: HD Baby Video Camera & Monitor

BBluv - Cam: HD Baby Video Camera & Monitor

ราคา 4,990 บาท

ระบบตรวจจับร่างกายและเสียงร้องไห้ ดูได้ทั้งจอมือถือและมอนิเตอร์

BBluv Cam นำเสนอประสบการณ์การดูแลลูกน้อยด้วยกล้องคุณภาพสูง 3.0MP พร้อมเลนส์ 3.6mm ที่ให้ภาพคมชัด โดดเด่นด้วยความยืดหยุ่นในการใช้งานที่สามารถดูได้ทั้งบนหน้าจอสมาร์ทโฟนและจอมอนิเตอร์ มาพร้อมระบบตรวจจับร่างกายมนุษย์และการตรวจจับเสียงร้องไห้ที่ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ไม่พลาดทุกความต้องการของลูกน้อย

ฟีเจอร์ที่น่าประทับใจคือระบบเสียงสองทางแบบเรียลไทม์ที่มาพร้อมไมโครโฟนและลำโพงคุณภาพดี ช่วยให้สื่อสารกับลูกน้อยได้ทันที และไฟ RGB ที่สามารถปรับความสว่างได้ตามต้องการ ช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายในห้องนอนของลูก ทำให้เป็นตัวช่วยที่ลงตัวสำหรับการดูแลลูกน้อยในยุคดิจิทัล

5. Vtech VM901-1W (2901V) Baby Monitor Camera & Screen

Vtech VM901-1W (2901V) Baby Monitor Camera & Screen

ราคา 10,990 บาท

กล้องเบบี้มอนิเตอร์ระดับไฮเอนด์ พร้อมเพลงกล่อม และระบบแจ้งเตือนอัจฉริยะ

Vtech VM901-1W มอบความสะดวกสบายในการดูแลลูกน้อยด้วยหน้าจอ LCD ขนาดใหญ่ 5 นิ้ว และความยืดหยุ่นในการใช้งานที่สามารถดูผ่านแอปพลิเคชัน Vtech บนสมาร์ทโฟนได้ โดดเด่นด้วยระบบกล้องที่หมุนได้ 360 องศา พร้อมความสามารถในการปรับก้มเงยและซูมผ่านการควบคุมระยะไกล ทำให้เห็นทุกมุมมองในห้องของลูกน้อยได้อย่างชัดเจน

นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟีเจอร์พิเศษที่ช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายด้วยเพลงกล่อม 5 เพลงและเสียงผ่อนคลาย 4 เสียง ระบบแจ้งเตือนการเคลื่อนไหวที่แม่นยำ และโหมด Night Vision ที่ทำงานโดยอัตโนมัติในเวลากลางคืน ทำให้มั่นใจได้ว่าจะดูแลลูกน้อยได้อย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะอยู่ในห้องไหนของบ้าน

6. Hubble กล้องเบบี้มอนิเตอร์รุ่น Nursery Pal Shimmer

Hubble กล้องเบบี้มอนิเตอร์รุ่น Nursery Pal Shimmer

ราคา 7,650 บาท

แบตอึดใช้งานได้ 15 ชั่วโมง ส่งสัญญาณไกล 1000 ฟุต มาพร้อมไฟกลางคืน 7 สี

Hubble Nursery Pal Shimmer โดดเด่นด้วยระบบติดตามคุณภาพการนอนที่ช่วยให้พ่อแม่เข้าใจพฤติกรรมการนอนของลูกน้อยได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการแสดงคะแนนประเมินคุณภาพการนอนเบื้องต้น ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการนอนให้เหมาะสมได้ มาพร้อมหน้าจอความละเอียดระดับ Full HD และระบบ Digital Zoom ที่ให้ภาพคมชัดไม่แตกเมื่อซูมเข้าดูใกล้

ความพิเศษอยู่ที่แบตเตอรี่ที่ใช้งานได้ยาวนานถึง 15 ชั่วโมง และระยะส่งสัญญาณที่ไกลถึง 1000 ฟุต ทำให้คุณพ่อคุณแม่มีอิสระในการเคลื่อนที่ภายในบ้าน นอกจากนี้ยังมีไฟกลางคืนแบบ Multi-color ให้เลือกถึง 7 สี เหมาะสำหรับการฝึก Sleep Training ให้ลูกน้อย และสามารถดูผ่านสมาร์ทโฟนได้อย่างสะดวก เป็นตัวช่วยที่ครบครันสำหรับการดูแลการนอนของลูกน้อย

7. Neero Baby monitor เบบี้มอนิเตอร์สำหรับดูลูกน้อย

Neero Baby monitor เบบี้มอนิเตอร์สำหรับดูลูกน้อย

ราคา 4,990 บาท

-เบบี้มอนิเตอร์ไร้ WiFi พร้อมไฟ LED อินฟราเรด 940nm ที่ไม่รบกวนการนอน

Neero Baby Monitor นำเสนอโซลูชันการดูแลลูกน้อยที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ ด้วยระบบไฟ LED อินฟราเรดความยาวคลื่น 940 นาโนเมตร ที่ช่วยให้มองเห็นลูกน้อยได้ชัดเจนแม้ในความมืด โดยไม่รบกวนการนอนหลับ ทำให้ลูกน้อยหลับสบายอย่างเป็นธรรมชาติ

จุดเด่นที่น่าสนใจคือการทำงานแบบไม่ต้องใช้ WiFi ทำให้การเชื่อมต่อมีความเสถียรและปลอดภัยสูง พร้อมระบบสื่อสารสองทางที่ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถพูดคุยและปลอบโยนลูกน้อยได้จากทุกที่ในบ้าน จอแสดงผลที่คมชัดช่วยให้เห็นทุกความเคลื่อนไหวได้อย่างละเอียด เป็นตัวช่วยที่เหมาะสำหรับครอบครัวที่ต้องการอุปกรณ์ที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน แต่มีประสิทธิภาพในการดูแลลูกน้อย

8. iBaby – M8 2K Smart WIFI Baby Monitor

iBaby - M8 2K Smart WIFI Baby Monitor

ราคา 7,499 บาท

มาพร้อมโปรเจคเตอร์ดวงดาว เซนเซอร์ Night Vision แบบสี และคลังเพลง

iBaby M8 ยกระดับประสบการณ์การดูแลลูกน้อยด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย โดดเด่นด้วยระบบเสียงแบบ 2 Channel ที่ช่วยลดเสียงสะท้อนระหว่างการสื่อสาร ทำให้การพูดคุยกับลูกน้อยเป็นธรรมชาติมากขึ้น พร้อมโปรเจคเตอร์ที่ฉายภาพดวงจันทร์และดวงดาวบนเพดานหรือผนัง ช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายในห้องนอนของลูก

ความพิเศษอยู่ที่คลังความบันเทิงขนาดใหญ่ที่มีเพลงกล่อมและนิทานให้เลือกถึง 1,000 รายการ พร้อมฟีเจอร์บันทึกเสียงที่ช่วยให้คุณพ่อคุณแม่สามารถอัดเสียงเพื่อเปิดให้ลูกฟังในภายหลังได้ และด้วยเซนเซอร์ Night Vision พิเศษที่ให้ภาพสีแม้ในที่มืด ทำให้สามารถเห็นลูกน้อยได้อย่างชัดเจนในทุกสภาพแสง เป็นตัวช่วยที่ลงตัวสำหรับการสร้างสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและปลอดภัยให้กับลูกน้อย

9. Video Baby Monitor VB607 3.2 นิ้ว LCD

Video Baby Monitor VB607 3.2 นิ้ว LCD

ราคา 1,460 บาท

มาพร้อมหน้าจอคมชัด ระบบส่งสัญญาณเสถียร และใช้งานได้ไกลถึง 260 เมตรในพื้นที่โล่ง

Video Baby Monitor VB607 เป็นอุปกรณ์ช่วยดูแลลูกน้อยที่ตอบโจทย์คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ด้วยหน้าจอ LCD ขนาด 3.2 นิ้ว ที่แสดงภาพคมชัด ช่วยให้คุณมองเห็นทุกการเคลื่อนไหวของลูกได้อย่างชัดเจน แม้อยู่ในห้องอื่น ระบบส่งสัญญาณแบบ GFSK ช่วยให้ภาพและเสียงส่งต่อได้อย่างเสถียร โดยมีระยะการใช้งานไกลถึง 50 เมตรในร่ม และ 260 เมตรในพื้นที่โล่ง ซึ่งเหมาะสำหรับบ้านที่มีพื้นที่กว้าง

นอกจากนี้ ตัวเครื่องยังออกแบบมาให้ทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ โดยสามารถทำงานได้ในอุณหภูมิ 0 – 40 องศาเซลเซียส และความชื้นไม่เกิน 85% ทำให้มั่นใจได้ว่าจะใช้งานได้ยาวนาน แม้ในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงบ่อย ด้วยราคาเพียง 1,460 บาท ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและน่าเชื่อถือสำหรับครอบครัวที่ต้องการความปลอดภัยและความสะดวกในการดูแลลูกน้อย

10. LeapFrog LF915HD (2915L) Video Baby Camera and Monitor 

LeapFrog LF915HD (2915L) Video Baby Camera and Monitor 

ราคา 9,989 บาท

กล้องคุณภาพสูง หมุนได้รอบทิศ 360° พร้อมซูม 8 เท่า และระบบตรวจจับอัจฉริยะ

LeapFrog LF915HD คือตัวช่วยที่พ่อแม่มือใหม่ไม่ควรพลาด ด้วยราคา 9,989 บาท คุณจะได้รับกล้องคุณภาพสูงที่สามารถหมุนได้รอบทิศ 360 องศา พร้อมมุมมองกว้าง 110 องศา ที่ไม่พลาดทุกการเคลื่อนไหวของลูกน้อย ฟีเจอร์ซูมภาพได้สูงถึง 8 เท่าช่วยให้คุณเห็นรายละเอียดชัดเจนแม้อยู่ห่างไกล ระบบอินฟราเรดอัตโนมัติและไฟกลางคืนแบบปรับได้ช่วยให้มองเห็นได้ชัดในความมืด โดยไม่รบกวนการนอนของลูก

ที่พิเศษไปกว่านั้นคือระบบตรวจจับอุณหภูมิและความชื้นที่ปรับหน่วยได้ตามต้องการ ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าลูกน้อยจะนอนหลับในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเสมอ ระบบโต้ตอบ 2 ทิศทางช่วยให้คุณปลอบประโลมลูกได้ทุกเวลา พร้อมเพลงกล่อมเด็ก 5 เพลงและเสียงปลอบเด็กอีก 4 เสียง เป็นตัวช่วยให้ลูกนอนหลับสบายตลอดคืน LeapFrog LF915HD จึงเป็นมากกว่ากล้องมอนิเตอร์ทั่วไป แต่เป็นผู้ช่วยดูแลลูกน้อยที่คุณวางใจได้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Baby Monitor

1. เบบี้มอนิเตอร์จำเป็นแค่ไหน?

เบบี้มอนิเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้พ่อแม่สามารถเฝ้าดูลูกน้อยได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องเข้าไปในห้องบ่อย ๆ ซึ่งช่วยให้คุณรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะหากลูกนอนอยู่ในห้องแยก หรือหากต้องทำงานบ้านในขณะที่ลูกหลับ

2. ควรเลือกเบบี้มอนิเตอร์แบบเสียง (Audio) หรือแบบกล้อง (Video)?

หากต้องการเพียงแค่ฟังเสียงร้องของลูก Audio Monitor ก็เพียงพอ แต่ถ้าหากต้องการเห็นภาพลูกแบบเรียลไทม์และตรวจสอบพฤติกรรม Video Monitor จะตอบโจทย์มากกว่า โดยเฉพาะรุ่นที่มี Night Vision และ Motion Detection

3. เบบี้มอนิเตอร์เชื่อมต่อ Wi-Fi กับแบบ Non-Wi-Fi ต่างกันอย่างไร?

  • Wi-Fi Monitor : สามารถดูภาพผ่านมือถือได้ทุกที่แม้ไม่ได้อยู่ที่บ้าน แต่ต้องมีอินเทอร์เน็ต และอาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยหากไม่มีระบบเข้ารหัสที่ดี
  • Non-Wi-Fi Monitor : ใช้คลื่นวิทยุ มีความเป็นส่วนตัวสูงและไม่ต้องกังวลเรื่องอินเทอร์เน็ตล่ม แต่ระยะส่งสัญญาณอาจจำกัด

4. เบบี้มอนิเตอร์ที่ใช้ Wi-Fi ปลอดภัยแค่ไหน? มีโอกาสโดนแฮกหรือไม่?

เบบี้มอนิเตอร์ที่เชื่อมต่อ Wi-Fi อาจมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย หากไม่ได้ตั้งค่าความปลอดภัยให้ดี แนะนำให้เลือกอุปกรณ์ที่มีระบบ เข้ารหัสสัญญาณ (Encryption) และตั้งรหัสผ่านที่ซับซ้อน รวมถึงหมั่นอัปเดตเฟิร์มแวร์อยู่เสมอ

5. เบบี้มอนิเตอร์มีสัญญาณรบกวนจากอุปกรณ์อื่นหรือไม่?

รุ่นที่ใช้ คลื่นวิทยุ (Non-Wi-Fi) อาจได้รับผลกระทบจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เช่น ไมโครเวฟหรือเราเตอร์ Wi-Fi แนะนำให้เลือกเครื่องที่มี DECT Technology หรือ คลื่นความถี่ 2.4GHz ขึ้นไป เพื่อลดสัญญาณรบกวน

6. ระยะส่งสัญญาณของเบบี้มอนิเตอร์ ได้ไกลแค่ไหน?

  • รุ่นที่ใช้ Wi-Fi : ไม่มีข้อจำกัดเรื่องระยะทาง ตราบใดที่มีอินเทอร์เน็ต
  • รุ่นที่ใช้คลื่นวิทยุ (Non-Wi-Fi) : ส่งสัญญาณได้ประมาณ 100-300 เมตร ในพื้นที่เปิดโล่ง และอาจลดลงเหลือ 30-50 เมตร หากมีผนังกั้น

7. เบบี้มอนิเตอร์แบบใช้แบตเตอรี่หรือแบบเสียบปลั๊กดีกว่ากัน?

  • แบบแบตเตอรี่ : เคลื่อนย้ายสะดวก เหมาะสำหรับพ่อแม่ที่ต้องการใช้งานในหลายจุดของบ้าน แต่ต้องเลือกที่แบตเตอรี่ใช้งานได้นาน
  • แบบเสียบปลั๊ก : ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมด แต่ต้องใช้ในตำแหน่งที่มีปลั๊กไฟ

8. เบบี้มอนิเตอร์ควรมีฟีเจอร์อะไรบ้างถึงจะคุ้มค่า?

ขึ้นอยู่กับการใช้งาน แต่ฟีเจอร์ที่ควรมี ได้แก่

  • Night Vision – มองเห็นในที่มืด
  • Two-Way Audio – พูดคุยกับลูกผ่านตัวเครื่อง
  • Motion Detection – แจ้งเตือนเมื่อลูกขยับ
  • Temperature Sensor – ตรวจสอบอุณหภูมิห้อง
  • Lullaby Mode – เปิดเพลงกล่อมเด็ก

9. ใช้เบบี้มอนิเตอร์ตอนกลางคืนจะรบกวนการนอนของลูกไหม?

โดยทั่วไปเบบี้มอนิเตอร์ไม่ได้ส่งเสียงรบกวนลูก หากเลือกรุ่นที่มี Night Vision อินฟราเรด จะไม่ต้องเปิดไฟส่องหน้าลูก แต่อาจต้องปรับระดับเสียงแจ้งเตือนให้พอดีเพื่อไม่ให้ดังเกินไป

10. เบบี้มอนิเตอร์ใช้กับเด็กโตได้หรือไม่?

ได้ สามารถใช้ดูแลเด็กเล็กจนถึงเด็กวัยหัดเดิน หรือแม้แต่ผู้สูงอายุที่ต้องการการดูแล เช่น ตรวจสอบพฤติกรรม หรือใช้ฟีเจอร์ Two-Way Audio เพื่อพูดคุยกับพวกเขา

11. เบบี้มอนิเตอร์สามารถใช้ดูสัตว์เลี้ยงได้หรือไม่?

ได้เช่นกัน หลายคนใช้ เบบี้มอนิเตอร์ ดูแลสุนัขหรือแมวเมื่อไม่อยู่บ้าน โดยเฉพาะรุ่นที่มีฟีเจอร์ Motion Detection และ Two-Way Audio

12. เบบี้มอนิเตอร์ราคาเท่าไหร่? ควรตั้งงบประมาณเท่าไหร่?

ราคาขึ้นอยู่กับฟีเจอร์และคุณภาพ

  • Audio Monitor : เริ่มต้นประมาณ 1,000-3,000 บาท
  • Video Monitor (Non-Wi-Fi) : ประมาณ 2,500-6,000 บาท
  • Wi-Fi Video Monitor : อาจสูงถึง 5,000-15,000 บาท ขึ้นอยู่กับคุณภาพของกล้องและฟีเจอร์

บทส่งท้าย

Baby Monitor เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้พ่อแม่สามารถเฝ้าดูลูกน้อยได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นรุ่นที่ใช้เสียง (Audio) หรือรุ่นที่มีกล้องวิดีโอ (Video) ซึ่งแต่ละประเภทมีข้อดีแตกต่างกัน การเลือกซื้อควรพิจารณาจากฟีเจอร์ที่จำเป็น เช่น Night Vision, Two-Way Audio, Motion Detection และการเชื่อมต่อ Wi-Fi หรือ Non-Wi-Fi ตามลักษณะการใช้งานของแต่ละครอบครัว

แม้ว่าเบบี้มอนิเตอร์จะไม่สามารถทดแทนการดูแลจากพ่อแม่ได้โดยสมบูรณ์ แต่ก็เป็นตัวช่วยที่ทำให้การเลี้ยงลูกง่ายขึ้น ลดความกังวล และช่วยให้พ่อแม่สามารถทำกิจกรรมอื่น ๆ ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

About the Author: Tangthon

สวัสดีครับ ผมตังค์ทอน ผู้ที่มีความสนใจของใช้ต่าง ๆ ทั้งภายในบ้าน และนอกบ้าน เพราะเป็นของใช้ที่มีประโยชน์ ช่วยอำนวยความสะดวกได้ดี และใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ผมจึงอยากเขียนรีวิวแนะนำสินค้าต่าง ๆ รวมทั้งแนะนำวิธีการเลือกซื้อเพื่อให้ผู้ที่สนใจและกำลังมองหาสินค้านั้น ๆ ได้ทราบ เพื่อที่จะได้นำไปใช้ในการตัดสินใจ ให้สามารถเลือกได้ง่ายยิ่งขึ้น สิ่งไหนดี สิ่งไหนน่าใช้ ยี่ห้อไหนดี รุ่นไหนดีที่สุด สามารถหาคำตอบได้ จากในบทความเลยครับ

You might like