รีวิว Microsoft Surface Go เบา บาง สวยใส พกพาง่าย ใช้งานได้รอบด้าน

Microsoft Surface Go รีวิว

สวัสดีครับเพื่อน ๆ วันนี้ครับ ผมจะมารีวิวเจ้า Microsoft Surface Go เบา บาง สวยใส พกพาง่าย ใช้งานได้รอบด้านครับ โดยไม่โครซอฟท์ครับ ได้เปิด คอมพิวเตอร์แท็ปเลต รุ่นใหม่นี้ออกมา และให้ชื่อว่า Surface Go ครับ โดยเจ้าตัวนี้นั้นมีขนาด 10 นิ้ว ซีพียู Intel Pentium Gold 4415Y โดยเป็นสเปคที่ต่ำสุดของ Surface ทั้งหมดที่มีขายอยู่ในปัจจุบันนี้ครับ

โดยประเทศไทยของเรา ถือว่าเป็นกลุ่มแรก ๆ ของโลกเลยครับ ซึ่งผมเองก็ได้จับจองกับเขาเป็นเจ้าของกับเขาด้วยเหมือนกัน อิอิ และณ ปัจจุบันนี้ก็ได้ลองเทสมาระยะหนึ่งแล้วด้วยครับ จึงได้มารีวิวให้เพื่อน ๆ ได้ทราบกัน

เจ้า Surface Go นี้จะมีมาให้เลือกเป็นเจ้าของกัน 2 รุ่น ครับ คือ ความจุ 64GB แบบ eMMC แรม 4GB และรุ่นความจุ 128GB แบบ SSD แรม 8GB ในการนี้ผมได้สั่งรุ้น 128 มาครับ สาเหตุคือ มีความจุสูงกว่า และได้เป็น SSD ที่ทำให้การทำงานรวดเร็วยิ ่งขึ้นครับ

Microsoft Surface Go รูปจาก blognone.com

รายละเอียดต่าง ๆ ของ Microsoft Surface Go

สเปค Microsoft Surface Go

  • Pentium Gold 4415Y
  • Windows 10 Pro
  • 8 GB RAM
  • 128GB SSD Nvme
  • 10″ Touchscreen
  • HD Graphics 615
  • WiFI , Bluetoooth

แกะกล่องกันเลย…

เมื่อเปิดกล่องออกมาครับก็จะเจอ Microsoft Surface Go ทันที ส่วนของอื่น ๆ ก็จะเป็นอะแดปเตอร์และเอกสารต่าง ๆ ครับ

แกะกล่อง รูปจาก blognone.com

ในส่วนของด้่นขวามือของเครื่องจะเป็นที่อยู่ของพอร์ตต่าง ๆ ครับ จากบนลงล่างจะเป็นพวก แจ็คหูฟัง 3.5 มม., พอร์ต USB-C 3.1 ที่รองรับการชาร์จด้วยมาตรฐาน USB Power Delivery และพอร์ต Surface Connect ตามลำดับครับ

Microsoft-Surface-Go-3 รูปจาก blognone.com

บริเวณขอบด้านบนของตัวเครื่องนั้น จะมีปุ่ม Power เปิด-ปิดเครื่อง และปุ่มปรับ Volume ครับ

รูปจาก blognone.com

ส่วนขอบด้่นล่างจะเป็นอะไรไปไม่ได้ครับ ถ้าไม่ใช่ที่ต่อคีย์บอร์ด Type Cover นั่นเองครับ

รูปจาก blognone.com

มาถึงด้านหลังของตัวเครื่องกันบ้าง จะมี ขาตั้งที่บานพับเปิดได้ทุกองศาตามใจชอบเหมือน Surface Pro ไม่ได้มี 3 ระดับเหมือนกับ Surface 3 ที่จัดเป็นเครื่อง entry-level เหมือนกันครับ

รูปจาก blognone.com

เมื่อทำการกางขาตั้งออกมา เราจะพบกับช่องเสียบ Micro SD อยู่ด้านในครับ

รูปจาก blognone.com

ที่บริเวณด้านหน้าของเครื่องจะมีกล้องหน้า ไมโครโฟน ไฟ LED สีขาว ซึ่งจะติดเวลาที่เราใช้งานกล้อง และกล้อง Windows Hello สำหรับไว้ใช้ในกาารปลดล็อคเครื่องด้วยใบหน้า โดยเราจะเห็นแสงสีแดง ๆ เวลลาที่เราทำการสแกนใบหน้าอยู่ครับ

รูปจาก blognone.com

ตรงขอบด้่นซ้ายและด้านขวาของหน้าจอ จะเป็นตำแหน่งของลำโพงสเตอริโอครับ

รูปจาก blognone.com

คีย์บอร์ด

รูปจาก blognone.com

ในส่วนของคีย์บอร์ดนั้น ได้ผมได้สั่งคีย์บอร์ด Type Cover รุ่น Signature มาครับ เป็นสี Cobalt Blue ซึ่งให้ความพรีเมี่ยมตรงที่มันหุ้มด้วยผ้า Alcantara เหมือนกับที่รถยนต์หรู ๆ เขาใช้กันครับ ต้องบอกตามตรงเลยครับว่า สัมผัสแล้วรู้สึกเนียมมือมากจริง ๆ ซึ่งราคานั้นจะแพงกว่ารุ่นธรรมดาสีดำอยู่ 1000 บาทเลยทีเดียว

รูปจาก blognone.com

ในส่วนของการสัมผัสการพิมพ์ รู้สึกได้ว่า travel distance หรือความลึกของปุ่มเวลาที่เรากดนั้น สั้นมาก ๆ เพียงแค่ประมาณ 1 มม.เอง จากการได้ลองใช้ง้าน ผมต้องปรับตัวอยู่สักพักเลยครับกว่าจะชิน เพราะตัวคีย์บอร์ดค่อนข้างที่จะเล็ก แรก ๆ นี่ พิมพ์ผิดบ่อยมาก ๆ ครับ ฮ่าๆๆๆๆ

รูปจาก blognone.com

โดยภาพรวมแล้ว ตัวคีย์บอร์ดรู้สึกว่าทำออกมาได้ดีแล้วครับ รู้สึกแน่นดี เวลาทำการพิมพ์แบบรวดเร็ว และยังมีไฟใต้ปุ่มที่สวยงาม มาพร้อม 3 ระดับอีก รวมถึงความดีงามอีกอย่าง คือ สามารถกดปุ่ม Home, End, Page Up และ Page Down ไดเทันทีเลยครับ ไม่ต้องกดปุ่ม Fn คู่กันเหมือนโน๊ตบุ๊ครุ่นอื่น ๆ สะดวกดีครับ

ทัชแพด

รูปจาก blognone.com

ในส่วนของทัชแพดครับ เรียกว่ามีขนาดใหญ่มาก ๆ เมื่อเทียบกับขนาดของ Type Cover ใช้งานได้อย่างสะดวกสบายมาก ไม่ได้รู้สึกว่าเล็กแต่อย่างใดเลย และแน่นอนว่าเป็น Precision Touchpad ด้วยแล้วรับรองได้เลยว่าให้ความแม่นยำที่สูงมากแน่นอน เลื่อนนิ้วใช้งานนิดเดียวก็ใช้งานได้อย่างง่ายดาย

การปรับขาตั้งหน้าจอ

รูปจาก blognone.com

ทีนี้เรามาลองปรับขาตั้งกันดูบ้างครับ อันนี้ผมจะลองปรับให้ตัวจอมันตั้งขึ้น แบบเวลาชอบนั่งไกล ๆ ก็จะตั้งจอให้มันตั้ง ๆ หน่อย จะได้ดูสบาย ๆ

รูปจาก blognone.com

ลำดับต่อมาตั้งเป็นระดับปกติครับ สำหรับน่งทำงานตามธรรมดาทั่ว ๆ ไป

รูปจาก blognone.com

และระดับสุดท้ายครับ คือกดราบลงสุดเลย ใช้เวลาวาดรูปหรือจดโน้ตครับ

การใช้งาน

Microsoft Surface Go มาพร้อมกับ Windows 10 Home แบบ S Mode ซึ่งก็เป็นวินโดว์ปกติที่เรา ๆ ใช้กันอยู่นี่แหละครับ แต่มีจะแตกต่างกันตรงที่ ถูกจำกัดให้รันได้เฉพาะจากแอฟ Microsoft Store เท่านั้น เราไม่สามารถรันจากไฟล์ .exe ได้นะครับ

โดยทางไม่โครซอฟท์เข้าระบุไว้ว่า เพื่อให้เครื่องทำงานได้อน่างรวดเร็วอยู่เสมอ และมันจะมีความปลอดภัยจากไวรัสด้วยนะครับ เพราะว่าไม่สามารถรันไฟล์จากภายนอกได้นั่นเอง

รูปจาก blognone.com

อย่างไรก็ดีครับ เพื่อน ๆ ก็ยัวสามารถออกจาก S Windows ได้ทุกเวลาเลยนะครับ และไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ อีกด้วย ทำให้สามารถรันไฟล์ .exe และสามารถติดตั้งโปรแกรมจากนอกสโตร์ได้ทันทีอีกด้วย

ซึ่งการออกจาก S Mode นั้นไม่ได้ยากเลยครับ ง่ายมาก ๆ เพียงแค่เพื่อน ๆ เข้าไปที่ Microsoft Store แล้วพิมพ์ในช่องค้นหาว่า “switch out of s mode” เราก็จะพบกับปุ่มให้กดครับ ซึ่งจะใช้เวลาในการดำเนินการแค่ 1 นาทีเอง ไม่ต้องรีบูทเครื่องเลยด้วยล่ะครับ

รูปจาก blognone.com

ต้องบอกเพื่อน ๆ อีกอย่างนะครับ การจะออกจาก S Mode นั้น จะเป็นการออกแบบถาวรนะครับ คือเมื่อเพื่อน ๆ ทำการออกจาก S Mode ไปแล้ว จะไม่สามารถเปิด S Mode กลับมาอีกได้ แม้ว่าเราจะทำการรีเซทเครื่อง ก็ไม่ได้ช่วยให้ S Mode กลับมาครับ

โดยจะกลับมาได้นั้น ผมได้สอบถามไปทาง Support ของไมโครซอฟท์มาแล้ว เขาแจ้งว่า เราต้องติดตั้ง Windows ใหม่จาก image เลยจึงจะใช้ S Mode ได้อีกครั้งครับ

ทีนี้ผมเลยตัดสินใจว่า จะใช้ Surface Go “แบบเดิมๆ” ไปก่อนครับ จะลองดูครับว่าถ้าเราใช้งาน S Mode ในชีวิตประจำวันนั้น ผลมันจะออกมาเป็นยังไง จะแย่หรือจะดี อยากลองดูครับ

ลืมไปเลยครับ…

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากครับ คือ “เบราว์เซอร์” ในเมื่อเราไม่สามารถรันโปรอกรมอื่น ๆ ได้ เราจึงถูกบังคับให้ใช้ Microsoft Edge โดยปริยายเลย พอได้ลอโใช้งานแบบเต็ม ๆ ดูแล้ว เอาจริง ๆ มันก็ไม่ได้ดูแย่เลยนะครับ ออกจะดีด้วยซ้ำ

เข้าเว็บต่าง ๆ ก็โอเคเลย รวดเร็วฉับไวดี แต่สิ่งที่ไม่ค่อยชอบเท่าไร คือ ไม่สามารถเปลี่ยน search engine เป็นกูเกิลได้นะครับ เราต้องใช้ Binf อย่างเดียวเพียว ๆ เลย

ทำแบบนีี้มันก็มัดมือชกกันเกินไปอ่ะครับ เพราะว่าการใช้งาน Google มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการรันโปรแกรมภายนอกสักนิด จะหวังพึ่งให้ Google เอา Chrome เข้าสู่สโตว์ ก็ไม่รู้ว่าจะเมื่อไร แบบนี้ผมไม่ค่อยโอเคซักเท่าไรเลยครับ

รูปจาก blognone.com

ในส่วนของ Office 365 ก็มีให้ซื้อบน Microsoft Store ได้ทันทีนะครับ หรือถ้าเพื่อน ๆ คนไหน ซื้อเอาไว้แล้วก็ล็อคอินและติดตั้งได้ตามปกติเลยนะครับ แต่สำหรับเพื่อน ๆ คนไหนที่ไม่อยากเสียเงินซื้อก็สามารถโหลด Office เวอร์ชันใช้ฟรีได้เช่นกันครับ

เพราะว่าไมโครซอฟท์เขาจัดว่า อุปกรณ์ที่มีขนาดของหน้าจอเล็กกว่า 10.1 นิ้วนั้น ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่คนใช้กันทั่วไป หาใช่ผู้ใช้ระดับโปรไม่ จึงให้สิทธิ์ในการดาวน์โหลด Office ไปใช้ได้ฟรี ๆ เช่นเดียวกันกับ Office for Android หรือ Office for iOS ด้วย จะต่างกันตรงที่ฟีเจอร์จะน้อยกว่ากันนั่นเอง

รูปจาก blognone.com

ประเด็นถัดมานะครับ จัดเป็นไฮไลต์ของเจ้า Surface เลยก็ว่าได้ สิ่งนั้นก็คือ ปากกาครับ แต่ต้องออกตัวก่อนครับว่า ตัวปากกาที่เอามารีวิวนั้น เป็นปากกาที่ใช้มาตั้งแต่ Surface 3 เลยครับ ซึ่งมันคือรุ่นเด่าแล้วนั่นเอง โดยจากรุ่นนี้ไปแล้วนั้น ไมโครซอฟท์ได้ออกปากกามาแล้ว 2 รุ่น คือรุ่นในยุค Surface Pro 4 และรุ่นปัจจุบันครับ

เมื่อได้ทดลองเขียนดูครั้งแรก พบว่าต้องออกแรงกดปากกาให้มากกว่า การเขียนบน Surface 3 อยู่พอสมควรเลยทีเดียวครับ หรือก็คือถ้าหากเขียนด้วยน้ำหนักปกติธรรมดา ผลที่ออกมาจะได้เส้นที่ขาด ๆ หรือเป็นจุด ๆ ต้องออกแรงเขียนให้กดมาก ๆ หน่อยถึงจะออกมาดี

ทำให้ประสบปัญหาเวลาที่วาดรูปครับ เพาะน้ำหนักในการวาดรูปนั้นไม่ได้เลย แต่ถ้ากดและออกแรงมากขึ้นก็จะสามารถววาดออกมาได้ดีเหมือนเดิมครับ เส้นที่ออกมาดูดี ต่อเนื่องเลยทีเดียว

รูปจาก blognone.com

ในส่วนนี้จะสรุปได้ว่า ถ้าเพื่อน ๆ คนไหน ใช้ Surface 3 อยู่ก่อนแล้ว อยากอัพเกรดมาเป็น Surface Go และอยากจะประหยังตังค์ โดยใช้ปากกาเดิมจาก Surface 3 ผมขอบอกเลย เสียใจด้วยครับ ถึงจะเขียนได้ก็จริง แต่โดยรวมแล้วไม่ดีเลยล่ะครับ ใช้ของใหม่ดีกว่า

ต่อมาครับ ผมได้ออกไปเที่ยวห้าง แล้วพก Surface Go ติดตัวไปด้วย เยใช้โอกาสนี้ลองเขียนด้วยปากกาตัวปัจจุบัน พบว่าได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจอย่างมากครับ เขียนนิดเดียว ติดดีจริง ๆ ถือว่ามันเกิดมาคู่กันจริง ๆ ครับ น้ำหนัก ลายเส้นออกมาเป็นธรรมชาติมาก ๆ

อีกทั้งหัวปากการุ่นใหม่ ก็มีความฝืดกว่าปากการุ่นก่อน ทำให้ได้ความรู้สึกเหมือนกับเขียปากกาจริง ๆ เลยล่ะครับ แลนอกจากนี้ปากกาปัจจุบันยังสามารถรองรับแรงกดได้ถึง 4,096 ระดับ (ปากการุ่นเก่ารับได้ 1,024 ระดับ) และยังรองรับการเอียงปากกาเพื่อทำการแรเงาด้วยล่ะครับ

รูปจาก blognone.com

สรุปครับ สำหรับการใช้งาน Microsoft Surface Go แบบ S Mode คือเราสามารถใช้งานตามปกติธรรมดา ในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร แอฟที่ได้มาก็ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น LINE, Facebook, Facebook Messenger, Instagram, Netflix, Spotify, Slack, iTunes, WhatsApp, Skype และอื่น ๆ อีกมากมาย คือถ้าไม่มีแอฟสำหรับงานเฉพาะ ก้ไม่ต้องออกจก S Mode ก็ได้ครับ มันครบถ้วนอยู่แล้ว

ในส่วนของแอปที่ใช้วาดรูปก็มีให้เลือกมากมายครับ แค่เข้าไปที่ Store ก็จะพบมากมายเลย เช่น Autodesk SketchBook, Evernote, Fresh Paint, Sketchable และ Microsoft Whiteboard เป็นต้นครับ

รูปจาก blognone.com

ฮาร์ดดิส SSD

รูปจาก blognone.com

ทีนี้ผมลองกดออกจาก S Mode ดูครับ เพื่อลองเข้าใช้งานตามปกติดู ผมก็ได้ลองวัดความเร็ว SSD มาให้ดูกันครับ โดยไม่โครซอฟท์ได้เลือก SSD จาก Toshiba รุ่น KBG30ZPZ128G โดยสามารถมองเห็นจริง ๆ แค่ 117GB และหลังจากที่ได้ทำการเปิดเครื่องมา พบว่าเหลือให้ใช้จริงแค่ 96GB ครับ

ถ้าดูจากคะแนนที่ให้มา แม่จะน้อยนะครับ แต่โดยรวม ๆ แล้ว สามารถใชช้งานได้อย่างลื่นไหลเลยครับ เปิดใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ เร็วมาก เครื่องรีบูทก็เร็ว ไม่มีอาการกระตุกให้เห็นแม้แต่น้อยเลยครับ

รูปจาก blognone.com

ในส่วนของการเล่นเกมส์ ไม่ได้ลองกับเกมส์ที่ใช้กราฟฟิกหนัก ๆ นะครับ ส่วนตัวคิดว่าน่าจะไม่ไหว แต่ได้ลองเทสกับเกมส์ Asphalt 9 ดู ผลปรากฏว่าเล่นได้ดีมาก ลื่นไหล ไม่กระตุกเลยครับ ถือว่าพอใช้ได้เลยทีเดียว

แบตเตอรี่

รูปจาก blognone.com

ในส่วนของแบตเตอรี่ เมื่อชาร์ตเต็มแล้ว ลองใช้งานแบบทั่ว ๆ ไปดู เปิดหลายแท็ปอยู่นะครับ แบตอยู่ได้ประมาณ 5 ชั่วโมงแน่ะ และดูจาก Battery Report แล้วก็เป็นตามที่รู้สึกครับ คือถ้าไม่ได้ทำงานต่อเนื่องตลอดเวลา ระยะเวลาของแบตก็น่าจะอย่ได้ทั้งวันนะครับ

พอร์ตเชื่อมต่อ

รูปจาก blognone.com

ข้อดีบางอย่างของ Microsoft Surface Go ก็คือการมี USB-C ซะที ซึ่งการมี USB-C มีประโยชน์มากมายมหาศาลมาก ๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายโอนไฟล์, ต่อจอนอก รวมไปถึงการชาร์จไฟด้วยมาตรฐาน USB Power Delivery ซึ่งทั้งหมดมีประโยชน์มาก ๆ จริง ๆ

ผมได้ทำการใช้อะแดปเตอร์ยี่ห้อ Tronsmart รุ่น U5P ซึ่งรองรับมาตรฐาน USB PD ครับ โดยอแดปเตอร์ตัวนี้ จ่ายไฟได้สูงสุด จ่ายไฟได้สูงสุด 30 วัตต์ ร่วมกับสาย USB-C ของ Google Pixel ชาร์จไฟเข้า Surface Go ตั้งแต่แบตเหลือ 8% จนถึง 98% ได้ภายใน 2 ชั่วโมงเท่านั้นเองครับ

โดยทำการชาร์จผ่าน USB-C HUB ของ Ugreen อีกทีนึง พร้อมกับทำการต่ออุปกรณ์อื่นด้วย คือ ตัวอ่านการ์ด Micro SD คีย์บอร์ด สาย HDMI และเมาส์ไร้สาย จากนั้นก็ไปออกจอใหญ่ด้วยครับ

รูปจาก blognone.com

หลังจากใช้งานมาอย่างยาวนาน 1 สัปดาห์นะครับ ได้ทำการชาร์จเครื่องด้วยพอร์ต USB-C ตลอด และได้เอาอแดปเตอร์ขนาด 24 Watt ที่ได้มาพร้อมกับตัวเครื่อง มาใช้ไปเพียงครั้งเดียวแค่นั้นเอง เนื่องจากพยายามปรับให้อุปกรณ์รอบตัวรองรับ USB PD มาได้พักใหญ่แล้วครับ เพื่อที่จะได้ชาร์จ Google Pixel 2 ที่ใช้อยู่ได้อย่างสะดวกมากขึ้นนั่นเอง

นอกจากนี้ครับ ยังได้ทำการทดลองใช้งาน Power Bank ยี่ห้อ Aukey รุ่น PB-Y7 ที่รองรับ USB PD 30 วัตต์ด้วย ก็สามารถชาร์จ Surface Go จนแบตเต็มได้ภายใน 2 ชั่วโมงเท่านั้นครับ

อย่างไรก็ดี หลังจากที่ได้ชาร์จไฟด้วย USB-C จนเต็มเปี่ยมแล้วนั้น ขณะที่ใช้งานผ่านเจ้า USB-C Hub ที่ต่อจอด้วยสาย HDMI ปรากฎว่าหน้าจอได้ดับไปครับ และไม่ติดอีกเลย ทำให้ต้องกาง ype Cover ออกเพื่อให้จอของ Surface ติด จากนั้นก็พับเก็บกลับไปอีกครั้งนึง จึงสามารถใช้งานต่อไปได้ครับ

อย่างสุดท้าย ได้ลองทำหารทดลองด้วย อะแดปเตอร์ขนาด 18 วัตต์ของ Google Pixel ดู ปรากฎว่าชาร์จเข้านะครับ แต่ช้าไปหน่อย ครับ

รูปจาก blognone.com

หลังจากที่ได้ทำการสลับออกจาก S Mode แล้ว ก็ยังได้ทำการทดลองใช้งาน Visual Studio 2017 ลองคอมไพล์โค้ดตัวเองที่เป็น ASP.NET เอาจริง ๆ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าช้าจนใช้ไม่ได้นะครับ คือสามารถใช้แก้โค๊ดเร็ว ๆ หรือเอาไว้ใช้เป็นเครื่องสำรองสำหรับทำงานนอกสถานที่ อันนี้ได้แน่นอนครับ ตรงจุดนี้คิดว่าข้อจำกัดของการที่เราเขียนโค้ดได้ลำบาก ไม่ได้มีสามเหตุมาจาก CPU รุ่นต่ำแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะจอมันเล็กตะหากครับ ทำให้ทำได้ยากนั่นเอง

เจ้า Surface Go ไม่มีพัดลมระบายอากาศในตัวเครื่องนะครับ สำหรับการใช้งานทั่วไปในบ้านที่ไม่ได้ติดแอร์ ลองวัดอุณหภูมิ วัดได้ประมาณ 40 องศาครับ ซึ่งวัดได้จากส่วนที่ร้อนที่สุดในตัวเครื่อง ส่วนเวลาการชาร์จจะอยู่ที่ 43 องศาเซลเซียสครับ เอาจริง ๆ มันก็ร้อนอยู่เหมือนกันนะ

รูปจาก blognone.com

ข้อดี

  • เล็ก บาง เบา พกพาสะดวก
  • มีพอร์ต USB-C รองรับการชาร์จมาตรฐาน USB Power Delivery
  • ใช้งานด้านต่าง ๆ ได้อย่างไม่มีปัญหาใด ๆ
  • Windows Hello ปลดล็อกด้วยการสแกนหน้า ดีมาก ปลอดภัยด้วย
  • คีย์บอร์ดใช้งานดีมาก ๆ
  • ปากการุ่นใหม่ใช้งานได้ดี

ข้อสังเกต

  • ไม่มีพอร์ต USB ขนาดเต็มมาให้
  • S Mode บังคับใช้ Bing เป็น Search Engine เปลี่ยนไม่ได้
  • สำหรับคนอัพเกรดจาก Surface 3 ต้องซื้ออุปกรณ์ใหม่หมดครับ
  • อุปกรณ์เสริมราคาค่อนข้างแพงเลยครับ

สรุป

เจ้า Microsoft Surface Go ตัวนี้นะครับ เป็นรุ่นใหม่ที่ใช้งานแล้วค่อนข้างประทับใจมากทีเดียว การใช้งานด้านต่าง ๆ ทำได้ดีเลย ภาพรวมถือว่าสอบผ่านเลยครับ แถมยังมีความ บาง เบา พกพาง่าย ดูดีอีกด้วย คีย์บอร์ดทำออกมาได้แน่นดีมาก ทัชแพดก็มีขนาดใหญ่ดี

ถ้าหากเพื่อน ๆ มีโน๊ตบุ๊คหลักที่ใช้งานอยู่แล้ว อาจจะซื้อเจ้า Surface Go มาเสริมด้วยก็ได้นะครับ เช่นอาจจะพกพาเข้าประชุม หรือจดโน๊ตต่าง ๆ หรืองานอื่น ๆ ที่ต้องพกพาไปทำงานด้วยก็ดีเหมือนกันนะครับ มันมีประโยชน์มากอยู่ครับ

สำหรับน้อง ๆ นักเรียน นักศึกษา ต้องขอบอกเลยว่า เหมาะเหม็งเลยทีเดียวครับ โดยน้อง ๆ นักศึกษาแพทย์ครับ ที่ต้องมีการจดบันทึกต่าง ๆ วาดรูปเยอะ ๆ ที่เห็น ๆ นะครับ คือเอา iPad / iPad Pro ไปเรียนกัน และใช้คอมอีกตัวสำหรับทำงาน

แต่หากใช้เครื่องเดียวไปเลย น้อง ๆ สามารถดึงโน๊ตต่าง ๆ ออกมาเลย ทำให้ทำงานได้สะดวกขึ้นมากอีกด้วย และปากการุ่นใหม่ยังดีมาก ดีกว่า Apple Pencil อีก รวมทั้งถ้าหากพื้นที่เก็บข้อมูลรู้สึกว่ามันน้อยไป ไม่จุใจก็ซื้อ microSD มาใส่เพิ่มได้สูงสุด 512GB ได้อีกครับ

ดังนั้น ถ้าหากเพื่อน ๆ คนไหนยังลังเลว่าจะซื้อรุ่น 64GB หรือ 128GB ดี ผมว่านะ ถ้าไม่ได้ติดเรื่องงบประมาณละด็ ควรซื้อรุ่น 128GB จะดีกว่าครับ ความจุมากขึ้นถึงสองเท่า แถมได้เป็น SSD อีก เครื่องมันจะเร็วขึ้นมาก และจะสามารถทำงานต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วยครับ อย่ารอช้าไปรีบหามาไว้ครอบครองกันเลยครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.blognone.com

About the Author: Tangthon

สวัสดีครับ ผมตังค์ทอน ผู้ที่มีความสนใจของใช้ต่าง ๆ ทั้งภายในบ้าน และนอกบ้าน เพราะเป็นของใช้ที่มีประโยชน์ ช่วยอำนวยความสะดวกได้ดี และใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน ผมจึงอยากเขียนรีวิวแนะนำสินค้าต่าง ๆ รวมทั้งแนะนำวิธีการเลือกซื้อเพื่อให้ผู้ที่สนใจและกำลังมองหาสินค้านั้น ๆ ได้ทราบ เพื่อที่จะได้นำไปใช้ในการตัดสินใจ ให้สามารถเลือกได้ง่ายยิ่งขึ้น สิ่งไหนดี สิ่งไหนน่าใช้ ยี่ห้อไหนดี รุ่นไหนดีที่สุด สามารถหาคำตอบได้ จากในบทความเลยครับ

You might like